One world

วันจันทร์-ศุกร์ 09.00-18.00 น.
วันเสาร์ 09.00-13.00 น.

Italy มนต์เสน่ห์แห่งยุโรปใต้

February 10, 2022 | by One world

Italy เมืองที่เรื่องชื่อประวัติศาสตร์อารยธรรมโรมัน ความงดงามของศิลปะสุดคลาสสิค ไปจนถึง แฟชั่นที่ทันสมัย

Italy แหน่งกำเนิดแบรนเนมดัง ไม่ว่าจะเป็น Chanel , Prada , Gucci , Dior , Louis Vuitton และ อีกหลายแบรนที่ชาวไทยรู้จัก

เกาะโปรชิดา (Procida, Naples) 

โปรชิดาเป็นหนึ่งในหมู่เกาะ Phlegraean (เกาะอิสเคีย เกาะโปรชิดา เกาะวิวารา และเกาะนิซิดา) ตั้งอยู่นอกอ่าวเนเปิลส์ระหว่างแหลมมิเซโน และเกาะอิสเคีย ในแคว้นกัมปาเนีย แคว้นทางตอนใต้ของประเทศ Italy

เสน่ห์ของโปรชิดา นำไปสู่การใช้เป็นฉากในของภาพยนตร์เรื่อง Il Postino และ The Talented Mr Ripley   

โปรชิดาเป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับทั้งชาวกรีกและชาวโรมันโบราณ ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ชีวิตของชาวเกาะนั้นปั่นป่วนอย่างมากจากการรุกรานจากกลุ่มต่างๆ ซึ่งรวมถึงพวกป่าเถื่อน ชาวกอธ ชาวซาราเซนส์ และระหว่างสงครามนโปเลียน 

ประวัติศาสตร์ของโปรชิดาเริ่มต้นด้วยการยึดครองของชาวไมซีนีระหว่างศตวรรษที่ 16 ถึง 15 ก่อนคริสตกาล ต่อมาผู้ตั้งถิ่นฐานชาวกรีกอพยพเข้าในพื้นที่ และรวมถึงการอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน ที่นี่ก็กลายเป็นที่พักที่สำหรับชนชั้นขุนนาง หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก เกาะนี้ถูกยึดครองโดยชาวกอธ (Goths) และจักรวรรด์ไบเซนไทน์ในคริสต์ศตวรรษที่ 6  

จุดสนใจเริ่มต้นของการเยี่ยมชมคือบริเวณท่าเรือ Marina Grande ให้ความรู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ผ่านมา ถนนเล็กๆ ผ่านร้านอาหาร บาร์ และร้านขายงานศิลปะท่ามกลางกลุ่มอาคารสีพาสเทล   

พื้นที่ด้านบนบริเวณตอนเหนือสุดของเกาะ คือป้อมปราการอันเก่าแก่ของเมืองเรียกว่า ‘เทอรา มูราตา’ (Terra Murata) หมายถึง ‘ดินแดนที่มีกำแพงล้อมรอบ’ ป้อมปราการแห่งนี้ทำให้ผู้คนในโปรซิดาปลอดภัยจากการปล้นสะดมของโจรสลัดซาราเซ็นส์ โจรสลัดมุสลิมเช่นเดียวกับพื้นที่ชายฝั่งอื่นๆ มานานหลายศตวรรษ บริเวณใกล้ๆ นี้ยังมีจุดชมวิวซึ่งมีทัศนียภาพกว้างไกลข้ามทะเลไปยังทั้งซอร์เรนโตและคาปรี และซากปรักหักพังของปราสาทสมัยศตวรรษที่ 16  

มารีน่า คอร์ริเซลลา (Marina Corricella) หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ บ้านเรือนสีเชอร์เบทซึ่งล้อมรอบท่าเรืออย่างแน่นหนาแคบมากจนแทบไม่มีถนนริมน้ำ มีแค่ทางคดเคี่ยวของถนนบันไดเพื่อเข้าและออกจากหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านชาวประมงที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะสืบเนื่องมาจากศตวรรษที่ 17 และยังมีโบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลา กราซี (Chiesa di Santa Maria della Grazie) ที่สร้างในปี 1679 ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน 

Italy

หมู่บ้าน ซานตา แมดดาเลนา (Santa Maddalena, South Tyrol) 

ตั้งอยู่ที่เชิงเขารูเฟน (Ruefen) ในหุบเขาฟูเนส (Funes) บนความสูง 1,339 เมตร มีประชากรประมาณ 370 คน 

หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคโดโลไมต์ของ Italy ที่ขนาบข้างด้วยภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและเนินเขาที่ปกคลุมด้วยทุ่งหญ้า เป็นสถานที่ในฝันของเทือกเขาแอลป์ ทีโรลใต้ (South Tyrol) 

‘โบสถ์เซนต์มักดาเลนา’ หรือ ‘ซานตา แมดดาเลนา’ (Church of Santa Maddalena) เป็นโบสถ์ยุคกลางคือหนึ่งในสถานที่ที่มีการถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งตัวโบสถ์นั้นตั้งอยู่ที่เชิงเขารูเฟน และมีกลุ่ม ‘ภูเขาฟันเลื่อย’ หรือ ‘เปลวไฟหินแห่งโดโลไมต์’ (Odle di Funes) เป็นฉากหลังที่งดงามน่าประทับใจ  

โบสถ์แห่งนี้มีการกล่าวถึงครั้งแรกในเอกสารทางประวัติศาสตร์ในปี 1394 ตามตำนานโบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบุญแมรี มักดาลีน หลังจากภาพนิมิตรของเธอปรากฏขึ้นในลำธารที่อยู่ใกล้ๆ หมู่บ้าน ภายในโบสถ์ออกแบบและตกแต่งแบบบาโรกคลาสสิก ประดับด้วยทองและหินอ่อนอย่างวิจิตร และภาพวาดอันโดดเด่นจากเพดานจรดพื้น เหนือแท่นบูชามีภาพวาดของมารีย์ มักดาลีน ตามด้วยรูปปั้นของเธอที่เชิงไม้กางเขน  

หมู่บ้านซานตาแมดดาเลนาคือจุดเริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสำรวจอุทยานธรรมชาติ Puez-Odle National Park พืชและสัตว์ในอุทยาน ตลอดจนการก่อตัวทางธรณีวิทยาของโดโลไมต์  และทุ่งหญ้าบนเทือกเขาแอลป์ซึ่งได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในทีโรลใต้

Italy

มานาโรลา (Manarola, Laspezia) 

หมู่บ้านที่น่ารักที่สุดแห่งหนึ่งใน Italy สร้างขึ้นภูเขาหินสูง 70 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บริเวณปากแม่น้ำโวลาสตรา เป็นหมู่บ้านที่มีเสน่ห์และโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งตามแนวชายฝั่ง ‘ชิงเก้ แตร์เร’* (Cinque Terre) อันเลื่องชื่อของเมืองลิกูเรีย  

*หมู่บ้านทั้งห้าแห่งของชิงเก้ แตร์เร (Cinque Terre) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้ เมื่อปี 1997 ประกอบด้วยหมู่บ้านเล็กๆ 5 แห่ง คือ มอนเตรอสโซ่ อัล มาเร (Monterosso al Mare), แวร์นาสซา (Vernazza), คอร์นิเลีย (Corniglia), มานาโรลา (Manarola) และ ริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore)  

มานาโรลาน่าจะก่อตั้งโดยชาวโรมัน เชื่อกันว่าชื่อ ‘Manarola’ นี้อาจหมายถึง ‘กังหันน้ำขนาดใหญ่’ ในสมัยโบราณ (magna rota ในภาษาละติน) ดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดในชิงเก้ แตร์เร  

ในปี 1276 สาธารณรัฐเจนัวเข้ายึดครองหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการ และเพื่อปกป้องหมู่บ้านจากการโจมตีของซาราเซ็น ชาวเจนัวร์ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับปราสาทที่มีอยู่ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากการบุกรุกหลายครั้ง ทำให้ปราสาทก็ถูกทำลายลง ซากของป้อมปราการที่มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ได้ถูกรวมเข้ากับอาคารสมัยใหม่บางส่วนซึ่งติดกับชายฝั่งที่มองออกไปเห็นทะเล 

มานาโรลา เป็นหมู่บ้านที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองรองจากหมู่บ้านคอร์นิเลีย ในห้าของหมู่บ้านของชิงเก้ แตร์เร มีทางขึ้นลงเป็นตรอกแคบๆ เต็มไปด้วยดอกไม้ ถนนที่ปูด้วยหิน ที่ทอดไปสู่ทะเลสู่ท่าเรือเล็กๆ ในทะเลลิกูเรียน บ้านหลากสีสันสวยงามที่หันหน้าไปทางทะเล ทำให้หมู่บ้านนี้เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่งดงามราวภาพวาดของชิงเก้ แตร์เรที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุด 

จัตุรัส Piazza Papa Innocenzo IV เป็นศูนย์กลางของของหมู่บ้าน เป็นที่ตั้งของโบสถ์เซนต์ลอเรนโซ (Church of Saint Lorenzo) สมัยศตวรรษที่ 14 โดยมีหอระฆังมีถูกใช้เป็นหอสังเกตการณ์สำหรับเฝ้าระวังชายฝั่งจากการโจมตีจากพวกซาราเซ็นและโจรสลัด  

ถนน Via Dell’Amore หรือ เส้นทางแห่งความรัก’ (The Way of Love) เป็นเส้นทางเดินเท้าที่นำไปสู่หมู่บ้าน ‘ริโอมัจจอร์เร’ (Riomaggiore) ตัดไปตามหน้าผาเหนือแนวชายฝั่งอันงดงาม ซึ่งเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดในบรรดาเส้นทางชิงเก้ แตร์เรทั้งหมด (ใช้เวลาเดินทาง 15 ถึง 30 นาที) เส้นทางถูกตกแต่งด้วย “กุญแจแห่งความรัก” กุญแจที่คู่บ่าวสาวนำมาคล้องไว้เพื่อเป็นการแสดงสัญลักษณ์แห่งรักนิรันดร์ 

Italy

เบซาลู (Besalu, Catalonia) 

เมืองเล็กๆ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาของเทือกเขาพีรานีส ในภูมิภาคการ์รอตซา และเป็นหนึ่งในหมู่บ้านยุคกลางที่สวยงามที่สุดของแคว้นคาตาโลเนีย ขึ้นชื่อเรื่องสะพานโรมันอันน่าประทับใจและร่องรอยของอดีตชาวยิว 

เบซาลูมีประวัติศาสตร์อันยาวนานว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดในคาตาโลเนียในแง่ของอิทธิพลทางการเมืองและสังคม ตั้งอยู่บนชายฝั่งของแม่น้ำฟลูเวีย (Fluviá) มีร่องรอยของการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ตั้งแต่สมัยโรมัน ชื่อ Besalú นั้นมาจากภาษาละตินว่า ‘Bisuldunum’ ซึ่งหมายถึง ‘ป้อมปราการบนภูเขาระหว่างแม่น้ำสองสาย’   

นอกเหนือจากบทบาทในประวัติศาสตร์คาตาลัน ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเบซาลูก็คือการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวที่สำคัญ ซึ่งมีบันทึกว่าเคยอาศัยอยู่ที่นี่เช่นเดียวกับสถานที่อื่นๆ ในคาตาโลเนีย ชุมชนชาวยิวอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับชุมชนคริสเตียนในท้องถิ่น แม้ว่ามีการสังหารหมู่ชาวยิวหลายครั้งในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 และต้นศตวรรษที่ 15 อย่างไรก็ตาม ในเมืองเบซาลูมีการนองเลือดค่อนข้างน้อย และเชื่อกันว่าครอบครัวชาวยิวในท้องถิ่นได้รับอนุญาตให้ออกจาก เมืองและหนีไปที่อื่นได้โดยอิสระ 

คุณลักษณะเด่นที่สุดของเบซาลูคือสะพานโรมาเนสก์ขนาดใหญ่ที่กั้นทางเข้าเมืองเก่าโดยไม่ต้องสงสัย สะพานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีและเป็นตัวอย่างที่ดีของสถาปัตยกรรมยุคกลาง แม้ว่าจะมีสะพานอยู่ที่นั่นตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของชาวโรมันครั้งแรกบนชายฝั่งแม่น้ำฟลูเวีย 

อัญมณีแห่งประวัติศาสตร์ซึ่งเต็มไปด้วยลักษณะเฉพาะ เบซาลูเป็นตัวอย่างอันงดงามของเมืองยุคกลาง ถนนและส่วนหน้าปูด้วยหินและสะพานที่สวยงามเป็นเครื่องหมายการค้าของเบซาลู ส่วนใหญ่ของกำแพงเมืองเดิมซึ่งมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 ยังคงสภาพดี ภายในกำแพงเมืองเก่าของเบซาลูมีลักษณะคล้ายเขาวงกต เสน่ห์ของเมืองคือกำแพงหินและถนนที่ปูด้วยหินตั้งแต่ยุคกลาง สิ่งปลูกสร้างและอาคารต่างๆ ที่แสดงถึงอิทธิพลของโรมัน โกธิค และยุคกลาง ศูนย์กลางของเมืองเก่าคือจัตุรัสหลัก Plaça de la Llibertat ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของร้านอาหารและร้านค้าช่างฝีมือจำนวนมาก 

ร่องรอยของอดีตชาวยิวของเบซาลูยังคงปรากฏให้เห็น และเมืองนี้มีชื่อเสียงในเรื่องอ่างชำระล้างพิธีกรรมโบราณที่เรียกว่ามิกเวห์ (Miqveh) บ่อน้ำร้อนแห่งนี้ถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1964 ซึ่งมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 และเชื่อกันว่าเป็นโรงอาบน้ำที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของชาวยิวที่ยังคงมีอยู่ในยุโรป  

Italy

มาเตรา (Matera, Basilicata) ‘อัญมณีแห่งบาซิลิกาตา’ 

ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเนื่องจากถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มาเตราได้รับรางวัลเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมแห่งยุโรปประจำปี 2019 และยังใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Passion of the Christ” ของ เมล กิ๊บสัน อีกด้วย 

ประวัติศาสตร์ของมาเตราเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคโลหะต่างๆ จนถึงการถือกำเนิดของศาสนาคริสต์ มาเตราเริ่มทำการค้ากับอาณานิคมของกรีกที่ก่อตั้งขึ้นบนคาบสมุทรปูเกลีย (Puglian) เมื่อเมืองมีความสำคัญมากขึ้นก็ดึงดูดใจของผู้บุกรุกเช่นกัน และตลอดประวัติศาสตร์ของเมือง จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ปกครองที่สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ รวมทั้งชาวโรมัน ไบแซนไทน์ ซาราเซนส์ และลอมบาร์ด  

ในช่วงยุคกลาง นักบวชได้เข้ามาตั้งชุมชนสงฆ์ขึ้นที่นี่ ถ้ำจำนวนมากถูกขยายและกลายเป็นที่อยู่อาศัย ห้องใต้ดิน และโบสถ์ ประเพณีการอยู่อาศัยในถ้ำนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาพที่สกปรกและโรคมาลาเรียกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวระดับชาติ จนและในที่สุดก็มีการใช้กฎหมายบังคับให้ผู้อยู่อาศัยต้องอพยพไปยังพื้นที่ซาสซี (Sassi) ที่ทันสมัยกว่าของเมือง  

คำว่า ‘Sassi’ แปลว่า “หิน” ในภาษาอิตาลี เป็นพื้นที่ซึ่งทอดยาวไปตามหุบเขาเล็กๆ ที่เรียกว่ากราวีนา (Gravina) ซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง มีบ้านถ้ำราว 1,500 หลังลดลหลั่นคล้ายรังผึ้งอยู่ตามหุบเขาสูงชัน ถ้ำธรรมชาติจำนวนนับไม่ถ้วนถูกยึดครองครั้งแรกในยุคพาลีโอลิธอิก ค่อยๆ ขุดลึกลงไปและขยายไปสู่พื้นที่อยู่อาศัย  

โบสถ์สไตล์รูเปสเตรียนที่สร้างขึ้นในหินทัฟฟ์ (Tuff) ซึ่งเป็นหินเถ้าภูเขาไฟ มีภาพเฟรสโกซีดจางในสไตล์ไบแซนไทน์ที่สวยงามมากมาย ‘มหาวิหารซานตามาเรีย เดลลา บรูนา’ (Cathedral of Santa Maria della Bruna) สมัยศตวรรษที่ 13 ที่สร้างจากหินทัฟฟ์ ตั้งตระหง่านสูงเหนือซาสซี จากจุดสูงสุดบนเนินเขาซิวิตา ภายในตกแต่งด้วยสไตล์บาโรกด้วยปูนปั้น ภาพวาด กรอบปิดทอง และประติมากรรม 

ซาสซีได้รับการยกย่องว่าเป็น “ภูมิประเทศที่มีเอกลักษณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป” และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี 1993 ถือว่าเป็น “ตัวอย่างที่โดดเด่นและสมบูรณ์ที่สุดของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ถ้ำโทรโกลดี (Troglodyte) ในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งปรับให้เข้ากับภูมิประเทศและระบบนิเวศได้อย่างลงตัว” 

และตั้งแต่นั้นมา มาเตราก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน บ้านถ้ำเก่าแก่จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกดัดแปลงเป็นบ้านพักอาศัยที่ทันสมัยและสะดวกสบาย อาหารอร่อย และการต้อนรับที่อบอุ่นของชาวเมือง

Italy

ปิเอตราซานตา (Pietrasanta, Tuscany) 

เมืองในยุคกลางที่สวยงามที่ซ่อนตัวอยู่ในแคว้นทัสคานี ทางตอนกลางของ Italy ระหว่างทะเลลิกูเรียนกับภูเขาแอลป์ของอิตาลี ‘อาปูอัน’ (Apuan Alps)  

ปิเอตราซานตาก่อตั้งในช่วงกลางศตวรรษที่ 13 โดย ลูก้า กุยสคาร์โด ปิเอตราซันตา (Luca Guiscardo Pietrasanta) ขุนนางชาวมิลาน สร้างเมืองเหนือป้อมลอมบาร์ด เมืองนี้อยู่ช่วงเวลาของการต่อสู้ระหว่างเจนัว และลุกกาเป็นเวลาหลายปีในช่วง 1300-1400 จากนั้นตระกูลเมดิชิก็เข้าควบคุมในปี 1484 ต่อมาไข้มาลาเรียทำให้เมืองเสื่อมโทรมลง แต่ในปี 1841 ดยุคเลโอโปลด์ เลโรนา (Duke Leopold Lerona) เริ่มสร้างเมืองขึ้นใหม่อีก ครั้งปิเอตราซานตากลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของการทำเหมืองหินอ่อน หินอ่อนจากภูมิภาคนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อ ‘มีเกลันเจโล’ (Michelangelo) ใช้งานหินอ่อนที่นี่สำหรับผลงานส่วนใหญ่ของเขา 

ปิเอตราซานตาคือหนึ่งในศูนย์กลางศิลปะและประติมากรรมมาจนได้รับฉายาว่า ‘เอเธนส์แห่งอิตาลี’ เนื่องจากความทุ่มเทของศิลปินที่ตัดสินใจมาตั้งรกรากที่นี่ ในบรรดาที่รู้จักกันดีที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เช่น ‘อิกอร์ มิโตรัส’ (Igor Mitoraj) ศิลปินและประติมากรชาวโปแลนด์ และ ‘เฟร์นันโด โบเตโร’ (Fernando Botero) ศิลปินและปฏิมากรรมชาวโคลอมเบีย มีสตูดิโอ ช่างฝีมือ และโรงหล่อหลายแห่งกระจายอยู่ในเมือง  

ปิเอตราซานตายังเป็นสถานที่สำหรับพักของนักแสวดงบุญตามเส้นทางวีอาฟรานจิจีนา (Via Francigena) ซึ่งเป็นเส้นทางแสวงบุญที่เชื่อมต่อเมืองแคนเทอร์เบอรีในอังกฤษไปยังกรุงโรม เมืองนี้มีต้นกำเนิดแบบโรมัน และได้ตั้งชื่อตาม ‘กุยสคาร์โด ดา ปิเอตราซานตา’ (Guiscardo Da Pietrasanta) เขาเป็นตระกูลใหญ่ของขุนนางชาวมิลาน  Guiscardo da Pietrasanta ผู้ก่อตั้งเมืองปัจจุบันในช่วงกลางศตวรรษที่ 13 

เมื่อเดินผ่านศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่ถูกรายล้อมไปด้วยหอศิลป์ ร้านบูติก บาร์ไวน์ และร้านอาหารที่มีเสน่ห์  และโบสถ์ที่สวยงามหลายแห่ง อย่างน้อยหนึ่งในนั้นคือ ‘มหาวิหารซานมาร์ติโน’ (Cathedral of San Martino) อันโดดเด่นที่สร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 14 มีหอระฆังสมัยศตวรรษที่ 15 สูงมากกว่า 30 เมตร ที่มองเห็นจัสตุรัส Piazza del Duomo ที่สวยงาม ซึ่งมีโรงละคร และโบสถ์เซนต์ อากอสติโน (Sant’Agostino Church) ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ซึ่งเก็บรวมรวมรูปปั้นกว่า 700 ชิ้นโดยศิลปินชาวอิตาลีและนานาชาติ

Italy

ออร์ตา ซาน จูลิโอ (Orta San Giulio, Piedmont) 

สร้างขึ้นบนแหลมที่ยื่นออกมาจากฝั่งตะวันออกของทะเลสาบออร์ตา ใกล้กับเกาะอิโซลา ซาน จูลิโอ ในเมืองโนวารา แคว้นเพียดมอนต์ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ Italy ได้ชื่อว่าเป็น “หมู่บ้านที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี”

เหนือหมู่บ้านขึ้นไปคือ ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งออร์ตา’ (Sacro Monte di Orta) ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกเมื่อปี 2003 ซึ่ง ‘ฟรีดริช นีทเชอ’ (Friedrich Nietzsche นักปรัชญาชาวเยอรมัน ถือว่าที่นี่คือ “หนึ่งในสถานที่ที่น่าสนใจที่สุดในโลก”  

ภายใต้ตรอกซอกซอยหลายแห่งลงมาบรรจบกับชายฝั่งของทะเลสาบ อาคารบ้านเรือนสีพาสเทลสวยงามแปลกตา และพระราชวังอันโอ่อ่าตั้งเรียงรายตามถนนแคบๆ เช่น พระราชวัง Palazzo de Fortis ในสไตล์นีโอคลาสสิก เป็นตัวอย่างดั้งเดิมของสถาปัตยกรรมสมัยศตวรรษที่ 18 พระราชวัง Palazzo Gemelli สไตล์เรเนซองส์ ในทศวรรษ 1500 และพระราชวัง Palazzotto della Comunita ‘ อันเป็นสภาชุมชนแห่งสาธารณรัฐออร์ตาริเวียร่า  หรือ ‘ปาลาซ็อตโต’ (Palazzotto) สร้างขึ้นในปี 1582  เป็นหนึ่งในอาคารเก่าแก่ที่แสดงถึงออร์ตาได้ดีที่สุด   

เกาะกลางทะเลสาบตรงข้ามกับหมู่บ้านคือ ‘เกาะอิโซลา ซาน จูลิโอ’ (Isola San Giulio) ที่ตั้งชื่อตามนักบุญอุปถัมภ์ท้องถิ่น ‘จูเลียสแห่งโนวารา’ (Julius of Novara) ที่มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน เมืองนี้เป็นตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหิน สถาปัตยกรรมโบราณ วัฒนธรรมที่ยังไม่ถูกทำลาย และชายหาดริมทะเลสาบที่สวยงาม   

ตำนานเล่าว่าเกาะนี้ถูกครอบครองโดยมังกรและฝูงงูที่น่ากลัวที่ได้สร้างความเดือนร้อนต่อชาวประมงในท้องถิ่น จนในที่สุดได้รับการช่วยเหลือจากนักบุญจูเลียส ท่านได้กางเสื้อคลุมลอยเหนือผืนน้ำในทะเลสาบและเดินไปบนเสื้อคุลมขึ้นไปบนเกาะ และได้ต่อสู้กับมังกรและได้ปลดปล่อยเกาะให้เป็นอิสระ และท่านได้ก่อตั้งโบสถ์เล็กๆ ขึ้นซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นมหาวิหาร Basilica di San Giulio ร่างของนักบุญจูเรียสถูกฝังไว้ในห้องใต้ดินของโบสถ์หลังนี้  

เกาะซานจูลิโอมีถนนสายเล็กๆ ที่วนไปรอบๆ เกาะเรียกว่า “ถนนแห่งความเงียบ” (Way of Silence) ซึ่งทอดยาวผ่านวิลล่าโบราณ สวนที่มีกำแพงล้อมรอบ บ่อน้ำ และตรอกเล็กๆ ที่ทอดลงสู่ผืนน้ำอันเงียบสงบของทะเลสาบออร์ตา

Italy

เซตารา (Cetara, Campania) 

หมู่บ้านชาวประมงที่มีเสน่ห์บนชายฝั่งอามาลฟี ตั้งอยู่ที่เชิงเขาฟาเลริโอ ในแคว้นคัมพาเนีย ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอิตาลี และเนื่องจากการขยายของหมู่บ้านเข้าไปสู่หุบเขาลึกที่ขนาบข้างด้วยไร่องุ่นและสวนส้ม จึงมีลักษณะเหมือนกับรูปพัด

ต้นกำเนิดของหมู่บ้านนี้มีอายุย้อนไปถึงยุคกลางตอนต้น พัฒนามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 เมื่อกลายเป็นนิคมของอาณานิคมซาราเซนส์ อาณาเขตของเซตาราในช่วงนี้แทบไม่มีคนอาศัยอยู่เลย อยู่ในเขตอำนาจของเมือง Marcina ของอิทรุสกัน

เศรษฐกิจทั้งหมดของหมู่บ้านคือการประมง และการแปรรูปปลาทูน่าและปลากะตัก แม้แต่ชื่อของเมืองก็ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับทะเลและการจับปลา ในความเป็นจริง Cetara ดูเหมือนจะมาจาก “cetaria” (ปลาทูน่า) หรือ “cetari” (คนขายปลา)

หมู่บ้านเซตาราที่อุดมไปด้วยอาคารมรดกทางประวัติศาสตร์ อาคารหลักคือ Vicereale Tower ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 เพื่อจุดประสงค์ในการป้องกันหมู่บ้านจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องของโจรสลัด ตั้งอยู่บนชายหาดของเมืองที่มีเสน่ห์

โบสถ์ San Pietro Apostolo ซึ่งมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 9 ในสไตล์บาโรก ระหว่างการขับไล่ชาวซาราเซ็นส์โดยชาวนอร์มันแห่งซาแลร์โน และคอนแวนต์แห่งซานฟรานเชสโกซึ่งมีอายุย้อนไปถึงช่วงทศวรรษ 1300 ภายในมีภาพเฟสโก้ที่ทรงคุณค่า

ในฤดูร้อน บรรยากาศที่มีเสน่ห์ของหมู่บ้านริมทะเลแห่งนี้คือ Marina di Cetara ชายหาดเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยหมู่บ้านบ้านเรือนและท่าเรือประมง ด้านหลังชายหาดมีบาร์และร้านอาหารกลุ่มเล็กๆ สถานที่ที่เหมาะสำหรับการว่ายน้ำในน้ำทะเลใสและสงบของเซตารา

Italy

มอนเตฟัลโก (Montefalco, Umbria) 

เคยเป็นชุมขนที่สำคัญในสมัยโรมัน เนื่องจากตั้งอยู่เหนือหุบเขาที่เชื่อมระหว่างสโปเลโตและเปรูจา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

ในยุคกลางเมืองนี้ถูกเรียกว่าคอคโคโรเน (Coccorone) แต่ชื่อ ‘มอนเตฟัลโก’ นี้อาจมาจากเหยี่ยวตัวหนึ่ง (ฟัลโก ในภาษาอิตาลี) ของจักรพรรดิเฟรเดอริกที่ 2 แห่งสวาเบีย ซึ่งพำนักอยู่ในคอคโคโรเน ตั้งแต่วันที่ 9 ถึง 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1240

เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์มอนเตฟัลโกจึงได้รับในชื่อว่า ‘ระเบียงแห่งแคว้นอุมเบรีย’ จากมุมมองที่สูง สามารถมองเห็นได้โดยมีเทือกเขา Apennines, Monte Subasio และ Monti Martani อยู่ไกลออกไป แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือเนินเขาเขียวขจีในบริเวณใกล้เคียงที่ปกคลุมไปด้วยต้นมะกอกและไร่องุ่น

มอนเตฟัลโก ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง 2 ชั้นและหอคอยเกือบทั้งหมด ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และ 14  สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ ‘ประตูแห่งเซนต์ออกัสติน’ ซึ่งมีหอคอยและบ้านเรือนสูงตระหง่านตั้งเด่นเป็นสง่า ภายใต้ซุ้มประตู ซึ่งเป็นภาพเฟสโก้ พระแม่มาเรีย สมัยศตวรรษที่ 14 ประตู ‘Gate of Frederick II’ ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการประทับของจักรพรรดิในมอนเตฟัลโก

จัตุรัสหลักของเมืองคือ Piazza del Comune มีพระราชวังของชนชั้นสูงมากมาย เช่น Palazzo Pambuffetti สมัยศตวรรษที่ 14, Palazzo Senili และ Palazzo Santi-Gentili (ศตวรรษที่ 15), Palazzo Langeli และ Palazzo De Cuppis o Camilli (ศตวรรษที่ 16)

ศาลาว่าการเมือง (Palazzo Comunale) สร้างขึ้นในปี 1270 อีกฟากหนึ่งของจัตุรัสคือโบสถ์เล็กๆ ของ Chiesa di Santa Maria di Piazza ซึ่งเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง ซึ่งเคยเป็นที่จัดการประชุมสาธารณะครั้งแรกของชุมชน

Italy

มอนโตวา (Mantua, Lombardy) 

ตั้งอยู่ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นลอมโบเดีย เป็นอัญมณีที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในดินแดนของอิตาลี มอนโตวาได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของ Italy และยังได้รับการการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดย UNESCO ร่วมกับ ‘ซับบิโอเนตา’ (Sabbioneta) ในปี 2008

มอนโตวา เป็นเมืองศิลปะที่สวยงาม จุดวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา พลังและอิทธิพลทางประวัติศาสตร์ของเมืองภายใต้การปกครองของตระกูลกอนซากา (Gonzaga) ทำให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางศิลปะ วัฒนธรรม และโดยเฉพาะยังเป็นศูนย์กลางดนตรีในภาคเหนือของอิตาลี ตัวเมืองถูกล้อมรอบด้วยด้วยทะเลสาบสามด้านที่เกิดจากสาขาของแม่น้ำโป  ทำให้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของภูมิภาค ที่โดดเด่นด้วยอาคารเก่าแก่และจัตุรัสที่สวยงาม

พระราชวัง Palazzo Ducale เป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลกอนซากา ซึ่งเป็นอาคาร 500 ห้อง เป็นพระราชวังสไตล์เรอเนสซองส์ที่สร้างขึ้นโดยดยุคแห่งมันโตวา (Federico II Gonzaga) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณท์ Museo Civico ซึ่งเน้นประวัติศาสตร์ของเมือง  

มหาวิหาร Duomo มีด้านหน้าอาคารสมัยศตวรรษที่ 18 ขณะที่มีปูนปั้นที่สวยงามจากช่วงทศวรรษ 15 โดย Giulio Romano โบสถ์อิฐทรงกลมที่รู้จักกันในชื่อ Rotonda di San Lorenzo สร้างขึ้นในปี 1083 วิหาร Basilica di Sant’Andrea ได้รับการออกแบบโดย Alberti สถาปนิกยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา แต่มีหลังคาโดมแบบบาโรก โรงละคร Teatro Bibiena ที่งดงามและหรูหราตั้งอยู่ใน Palazzo dell’Accademia ซึ่งตระกูลกอนซากามอบให้เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานทางดนตรีที่คงอยู่ของเมือง

จัตุรัส Piazza Sordello อันหรูหราเป็นเหมือนห้องรับแขกของเมือง ล้อมรอบด้วยโบสถ์และพระราชวัง ประดับด้วยร้านกาแฟริมทาง และทางเดินสไตล์เรเนซองส์ และบรรยากาศที่เป็นกันเอง จตุรัส Piazza dell’Erbe ที่เรียบง่ายกว่าแต่ตั้งอยู่ในใจกลางแหล่งช้อปปิ้งของเมือง มี Palazzo della Ragione พร้อมหอนาฬิกาดาราศาสตร์สมัยศตวรรษที่ 15

ความรู้สึกโดยรวมของเมืองนี้ดูสง่างามด้วยอาคารที่สวยงามที่เรียงรายอยู่ในทางเดินที่แสดงถึงความภาคภูมิใจและประวัติศาสตร์ของมอนโตวา มีร้านอาหาร ร้านบูติก และร้านค้ามากมายให้เพลิดเพลินท่ามกลางอัญมณีแห่งศิลปะและสถาปัตยกรรมอันงดงาม

Italy

บริซิเอลลา (Brisighella) 

หมู่บ้านยุคกลางที่ถูกซ่อนอยู่ในแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา คือหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี (Borghi più Belli d’Italia)  

บริซิเอลลาตั้งอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี บนเทือกเขาเอเพนไนน์ระหว่างราเวนนาและฟลอเรนซ์ ท่ามกลางทัศนียภาพอันสวยงามของทุ่งนาไร่องุ่น และสวนมะกอก ที่อุดมสมบูรณ์ และเงียบสงบ 

หมู่บ้านเล็กๆ บนยอดเขาที่มีอาคารยุคกลาง ป้อมปราการ และทิวทัศน์อันตระการตา ศูนย์กลางของเมืองคือจตุรัสปิอัซซ่า คาร์ดุซซี (Piazza Carducci) ยังคงประกอบด้วยตรอกซอกซอยและถนนสายเก่าพร้อมด้วยป้อมปราการ Rocca Manfrediana อันโอ่อ่า ในศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นตัวอย่างที่สวยงามของป้อมปราการทหารยุคกลาง วิหารของแม่พระแห่งมอนติซิโน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์โบราณที่อุทิศให้กับพระแม่มารีที่มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 18  

เมืองนี้ยังคงมีโครงสร้างเมืองในยุคกลางซึ่งประกอบด้วยเขาวงกตของตรอกเก่า บางส่วนของกำแพงเมือง และขั้นบันไดที่แกะสลักจากหิน และหอนาฬิกา ศตวรรษที่ 19 ถนนสายหลักคือถนน “เวีย เดล บอร์โก” (Via del Borgo) อันเก่าแก่ซึ่งเป็นถนนที่มีหลังคาคลุมโดยมีหน้าต่างแบบเปิดโค้งขนาดต่างๆ กันจากศตวรรษที่ 12   

ปอร์โต เอร์โคเล (Porto Ercole, Tuscany) 

ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมอนเต อาร์เจนตาริโอ ทางตอนใต้ของแคว้นทัสคานี  

หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่มีกลิ่นอายโบราณนี้ที่มีอาคารและเรือหลากสีสัน ที่ได้รับการปกป้องโดยป้อมปราการ “Forte Filippo” อันยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 16 โดยสร้างขึ้นในแผนผังดาว 6 แฉก ตั้งอยู่เหนือเมืองอย่างเด่นชัดบนภูเขาอาร์เจนตาริโอ (Monte Argentario) ที่อดีตเคยเป็นเป็นเกาะมาจนถึงช่วงทศวรรษ 1700 เกิดสันดอนจากดินตะกอนเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่และก่อตัวเป็นทะเลสาบออร์เบเทลโล (Orbotello) ปัจจุบันเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่ได้รับการคุ้มครอง 

ถนนที่คดเคียวและบันไดอันสูงชันระหว่างบ้านหลังเล็กๆ ที่ร่มรื่นด้วยต้นสนที่งดงามราวภาพวาดผ่านประตูเก่าที่มีหอนาฬิกา  นำไปสู่บริเวณจตุรัส “Piazza di Santa Barbara” เป็นที่ตั้ง Governor’s Palace อาคารนี้สร้างขึ้น ในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ภายใต้การปกครองของเซียนา และเป็นที่พำนักของผู้ว่าการในช่วงการปกครองของสเปน  

ในส่วนบนของเมืองเก่า โบสถ์เซนต์อีราสมุส (Church of Saint Erasmus) เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมสเปนสมัยศตวรรษที่ 17 แท่นบูชาหลักตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 เป็นหินอ่อนหลากสี โบสถ์แห่งนี้เป็นที่ฝังร่างจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่สมัยบาโรกอย่าง ‘การาวัจโจ ที่เสียชีวิตด้วยโรคมาลาเรียที่หมู่บ้านนี้ในปี ค.ศ. 1610  

ทางเดินริมทะเลทอดยาวไปถึงอ่าวที่มีร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านค้าริมทะเลตั้งอยู่เรียงราย เหมาสำหรับพักผ่อนและเพลิดเพลินกับพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าที่งดงามที่สุดเหนือเมืองและท้องทะเล  

โตรเปีย (Tropea, Calabria) 

มีชายหาดนับไม่ถ้วนตามแนวชายฝั่งยาว 500 ไมล์ที่หันหน้าไปทาง ทะเลไทเรเนียน (Tyrrhenian) ทางทิศตะวันตก ดินแดนที่ทอดยาวเป็นพิเศษซึ่งรู้จักกันในชื่อ Costa degli Dei หรือ Coast of the Gods  

ตำนานเล่าว่าเฮอร์คิวลีสก่อตั้งเมืองนี้ขึ้นเมื่อกลับมาจากการจบภาระกิจที่ Pillars of Hercules ซึ่งเป็นช่องแคบยิบรอลตาร์ในปัจจุบัน ชื่อของเฮอคิวลิสประดับอยู่ที่จัตุรัสหลัก Piazza Ercole แต่ประวัติศาสตร์ของ โตรเปียมีมากกว่าตำนาน ด้วยการค้นพบสุสานกรีกโบราณและท่าเรือโรมันในพื้นที่ชายฝั่งที่น่าทึ่งนี้  

ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของโตรเปียเป็นถนนเขาวงกตในยุคกลางที่แยกจาก Corso Vittorio Emanuele ซึ่งตัดเส้นทางตรงไปยังจุดชมวิวที่ออกสู่ทะเล โต๊ะคาเฟ่เต็มพื้นที่สี่เหลี่ยมและร้านค้ามีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมากมาย บ้านขุนนางเก่าแก่มีให้พบเห็นได้ตลอดแนวถนน หลายหลังมีประตูมิติอันงดงามตั้งแต่ยุคเรอเนซองส์และบาโรก  

โตรเปียมีโบสถ์มากมาย เช่น โบสถ์ Santa Maria dell’Isola โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โบสถ์ Cattedrale di Maria Santissima di Romania ซึ่งเป็นโบสถ์แบบโรมาเนสก์ที่สร้างโดยชาวนอร์มันในศตวรรษที่ 12   

ในอิตาลี หมู่บ้านต่างๆ จะไม่สามารถกลายเป็น Borgo dei Borghi (หมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี) ได้หากไม่มีประเพณีการทำอาหารที่โดดเด่น และพื้นที่โตรเปีย มีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรสองชนิดที่เป็นที่ต้องการของร้านอาหารที่ดีที่สุดทั่วโลก ได้แก่ หัวหอมโตรเปีย (tropea onion) และเอ็นดูย่า ซารามี (nduja salami) 

นับว่าโตรเปีย คือไข่มุกแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่แท้จริง และยังได้รับการโหวตให้เป็นหนึ่งใน ‘หมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี’ อีกด้วย 

หมู่บ้าน ออร์วิเอโต (Orvieto, Umbria) 

ตั้งตระหง่านอยู่เหนือหุบเขาไทเบอร์บนปราการหินภูเขาไฟสูงชัน ทางทิศตะวันตกของแคว้นอุมเบรีย ระหว่างกรุงโรมและฟลอเรนซ์ 

ออร์วิเอโต ก่อตั้งโดยชาวอิทรุสกัน และถูกชาวโรมันทำลายใน 264 ปีก่อนคริสตกาล และส่งประชากรไปอาศัยอยู่ที่ทะเลสาบโบลเซนา (ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงของลาซิโอ) แต่ออร์วิเอโตก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้งในฐานะศูนย์กลางทางศาสนาและพลเมืองในยุคกลาง  

โบสถ์ Chiesa di Sant’Andrea ซึ่งเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในออร์วิเอโต สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 6 มหาวิหาร Duomo di Orvieto ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 14 ซุ้มกอทิกของมหาวิหารเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่ดีที่สุดของยุคกลาง  

บ่อน้ำเซนต์แพทริก (Pozzo di San Patrizio) ที่มีความลึกเกือบ 60 เมตร สร้างตามคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 (Pope Clement VII) เมื่อตอนที่ถูกปิดล้อมที่นี่ในช่วงปี 1520 ซึ่งเป็นโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม การออกแบบและการก่อสร้างบ่อน้ำน่าจะได้รับการสนับสนุนจากเลโอนาร์โด ดา วินชี 

ทัศนียภาพอันงดงามจากตัวเมือง แต่ด้านล่างของออร์วิเอโต มีเขาวงกตของถ้ำ อุโมงค์ บันได ห้องใต้ดิน และทางเดินที่ซ่อนอยู่ เมื่อเดินผ่านโลกมหัศจรรย์ของใต้ดินห่างออกไปเล็กน้อยจะพบน้ำพุร้อน สวนสาธารณะ พื้นที่ธรรมชาติ ภูมิประเทศของพื้นที่มีความหลากหลายและมีชีวิตชีวา ออร์วิเอโตตั้งอยู่ที่จุดสูงสุดของสามภูมิภาค ได้แก่อุมเบรีย ลาซิโอ และทัสคานี 

อาหารท้องถิ่นอุดมไปด้วยซาลามี่โฮมเมด ไส้กรอก และพาสต้า พร้อมด้วยเห็ดป่าและทรัฟเฟิล ไวน์ขาวของ ออร์วิเอโต มีชื่อเสียงระดับโลก  

หมู่บ้านบาร์ด (Bard, Valle d’Aosta) 

หมู่บ้านยุคกลางที่เงียบสงบและงดงามแห่งนี้ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 381 เมตร โดยตั้งอยู่ที่ใจกลางช่องเขาแคบๆ  

บาร์ดเป็นหมู่บ้านที่เล็กที่สุดในอิตาลีและมีประชากรเพียงร้อยกว่าคน แต่ตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางการค้าและการทหาร  

หมู่บ้านนี้เต็มไปด้วยบ้านเก่าแก่และถือเป็นหนึ่งในบ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจคือ แหล่งธรณีวิทยาที่มีการแกะสลักหินยุคหินใหม่และ ถนนโรมันโบราณ (Roman Via Consolare) ซึ่งสร้างขึ้นระหว่าง 31 ถึง 25 ปีก่อนคริสตกาล  

นอกจากนี้ยังมีมีอาคารสมัยศตวรรษที่ 16 หลายแห่ง และยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้ ในหมู่บ้านเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่มีความงดงามที่หายาก เช่น บ้านของบิชอป และบ้านขุนนางอันสง่างาม รวมไปถึง มีคาเฟ่ ร้านค้า บาร์ ร้านอาหาร และโรงแรมภายในหมู่บ้าน  

บาร์ดเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีเสน่ห์ที่สุดและได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดใน Valle d’Aosta ตั้งแต่สมัยโบราณเนื่องจากตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ ป้อมปราการได้ปกป้องหมู่บ้านให้ปลอดภัยต่อการรุกรานมาโดยตลอด   ดังนั้นจึงได้รับการเสริมกำลังในสมัยโบราณ ด้วยอาคารต่างๆ ที่เชื่อมเข้าด้วยกันด้วยซุ้มประตูที่มีหน้าต่างบานเกล็ดและไม้กางเขน อาจเป็นเขตยุคกลางที่สำคัญที่สุดในหุบเขา 

เชฟาลู (Cefalu, Sicily) 

หนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดใน ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางเหนือของเกาะซิซิลี ในเมืองปาแลร์โม ถูกสร้างขึ้นตามคำสั่งของกษัตริย์นอร์มัน โรเจอร์ที่ 2   

ต้นกำเนิดของเชฟาลูย้อนกลับไปอย่างน้อยในสมัยกรีก (ชื่อนี้มาจากคำภาษากรีกโบราณแปลว่า “แหลม”) ตอนบนของเมืองตั้งตระหง่านด้วยหินขนาดมหึมาที่มีความสูงถึง 270 เมตร ที่ชาวฟินีเซียนรู้จักกันดีและเรียกที่นี่ว่าเป็น “แหลมเฮอร์คิวลีส”  

เรียกกันว่า La Rocca (หิน) ซึ่งเป็นที่ตั้งของป้อมปราการโบราณของชฟาลูเมื่อสร้างโดยชาวกรีกและรู้จักกันในชื่อ Kephaloidion ปราสาทเชฟาลูเป็นหนึ่งในซากปรักหักพังของนอร์มันแห่งซิซิลีและทางตอนใต้ของอิตาลี สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 นั่งอยู่ที่ด้านบนสุดของ La Rocca   

ชายฝั่งทะเลของเซฟาลูเรียงรายไปด้วยชายหาดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของซิซิลี และน้ำทะเลสีฟ้าครามรอบๆ เมืองก็สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่าเมืองและรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์จะสวยงามมาก แต่ชายหาดก็เป็นเหตุผลหลักที่คนส่วนใหญ่เดินทางไปเซฟาลู 

มหาวิหารแห่งเซฟาลูเป็นโบสถ์นิกายโรค่อนข้างแตกต่างจากโบสถ์อื่นๆ ในประเทศ เพื่อแสดงพลังของชาวนอร์มันในซิซิลี และเพื่อปกป้องเมืองในกรณีที่เกิดการบุกรุก นี่คือเหตุผลที่อาคารเกือบจะมีลักษณะทางทหารและตั้งอยู่ในสถานที่ที่มองเห็นได้ชัดเจนในเมือง ตำนานท้องถิ่นกล่าวว่าจตุรัสด้านหน้ามหาวิหารสร้างขึ้นด้วยดินที่นำมาจากกรุงเยรูซาเลม  

การก่อสร้างมหาวิหารเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1131 และเป็นตัวอย่างที่สวยงามของสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “ซิซิเลียนโรมาเนสก์” (Sicilian Romanesque) หรือ สถาปัตยกรรมปบบอาหรับ-นอร์มันที่น่าประทับใจ นับเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคนี้อย่างน่าทึ่ง   

ปาเซนโตร (Pacentro, Abruzzo) 

หมู่บ้านในเมือง L’Aquila เป็นหมู่บ้านยุคกลางที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งของของภูมิภาคอาบรุซโซ  

ปาเซนโตรตั้งอยู่ในเทือกเขาอัลไพน์ไนท์ บนที่ราบสูงเล็กๆ ประมาณ 650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งต้องขอบคุณโครงสร้างเมืองแบบโบราณที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีใครแตะต้องจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘หมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี’ อีกครั้ง  

เป้าหมายหลักของการมาเยือนปาเซนโตรคือปราสาทแห่งแคลโดรา เป็นของตระกูล Caldora ในช่วงหลายปีแห่งความรุ่งโรจน์ที่สุด ต่อมาปราสาทได้ส่งต่อไปยังตระกูล Orsini แห่งกรุงโรม จนกระทั่งในปี 1960 เจ้าของคนสุดท้ายคือตระกูล Gravina-Avolio ได้บริจาคปราสาทหลังนี้ให้เป็นสมบัติของเมืองปาเซนโตร  

จตุรัสหลัก Piazza del Popolo ที่มีน้ำพุเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 17   ซึ่งมีโบสถ์ซานตามาเรีย มัจจอเรที่โดดเด่นเป็นที่ตั้ง และมีน้ำพุหินที่สวยงามอยู่ตรงกลาง โบสถ์แห่งนี้ย้อนเวลากลับไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และแสดงหอระฆังที่มียอดแหลมทรงปิรามิดที่แปลกประหลาด และด้านขวาของประตูคือนาฬิกาแดดเซรามิก  

ภายใต้ร่มเงาผ่านตรอกยุคกลางอันสูงชันมี Chiesa di San Marcello ซึ่งเป็นอาคารทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของ Pacentro ก่อตั้งขึ้นในปี 1047  บ้านเรือนขนาดเล็ก ถนนและทางเดินแคบๆ ที่มีลักษณะเฉพาะ อาคารที่อยู่ติดกัน ที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินเล็กๆ และขั้นบันไดสูงชัน กลายเป็นเขาวงกตที่ไม่เหมือนใคร   

ซิวิตา ดิ บันโญเรจิโอ (Civita di Bagnoregio) 

ที่รู้จักกันในชื่อ “เมืองที่กำลังจะตาย”  การเกิดแผ่นดินไหว การกัดเซาะอย่างต่อเนื่องของลมฝน และหินที่ผุกร่อน ทำให้อาคารแตกร้าวและที่ดินทรุดตัวลง ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยที่จะอาศัยอยู่ ชาวโรมันพยายามทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เป็นผล ในยุคกลางมีการสร้างอาคารที่น่าสนใจจำนวนหนึ่ง แต่แผ่นดินไหวและโรคระบาดที่ตามมามีส่วนทำให้ผู้อยู่อาศัยอพยพมาสร้างและก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นมาใหม่ชื่อ “บันโญเรจิโอ” (Bagnoregio) ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่เดิมไม่กี่กิโลเมตร  

หมู่บ้านยุคกลางเล็กๆ บนยอดเขาอันงดงามหรือที่รู้จักกันในชื่อ “ปราสาทในท้องฟ้า” เมืองนี้มีอายุประมาณ 1,200 ปี แต่มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล และถูกครอบครองโดยชาวอิทรัสกัน  

ระหว่างศตวรรษที่ห้าและแปด ซิวิตาถูกปิดล้อมเกือบตลอดเวลา โดยเปลี่ยนมือหลายครั้ง โดยถูกยึดครองครั้งแรกโดยชนเผ่ากอธ จากนั้นถูกครอบครองโดยอาณาจักรไบเซนไทน์ ตามด้วยพวกลอมบาร์ด ก่อนที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐของสมเด็จพระสันตะปาปาในปี 774  

สะพานที่มีชื่อเสียงซึ่งนำไปสู่ซิวิตา ดิ บันโญเรจิโอ เรียกว่า Ponte per Civita มีความยาวประมาณ 270 เมตร และแขวนอยู่สูงเหนือช่องเขาที่แยกเนินเขาทั้งสองออกจากกัน สะพานนี้สร้างขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1960 และแทนที่โครงสร้างไม้เก่าจากปี 1944 

เมื่อเข้าประตู Porta Santa Maria ซึ่งมีลักษณะเป็นงานแกะสลักที่น่าสนใจหลายชิ้น และตกแต่งในศตวรรษที่ 12 ด้วยซุ้มประตูแบบโรมาเนสก์ เหมือนผ่านเข้าสู่ประตูมิติสู่อีกโลกหนึ่ง–โลกใบหนึ่งติดอยู่ในยุคกลาง สัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์ในก้อนหินเรียบๆ ใต้ฝ่าเท้าของเรา  

จากเมืองนี้เริ่มที่จะตายจริงๆ ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งเพราะนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 

เลกเซ (Lecce,Puglia) 

เมืองที่สวยที่สุดในปูลยา มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังอย่างน้อย 2,500 ปี เป็นเมืองหลักบนคาบสมุทรซาเลนโต  

เลกเซมักได้รับฉายาว่าฟลอเรนซ์ทางตอนใต้ เนื่องจากมีอาคารเก่าแก่ที่สวยงามมากมาย เมืองนี้ซ่อนตัวอยู่ทางตอนใต้สุดของอิตาลี ตรงข้ามกับแอลเบเนียบนทะเลเอเดรียติก มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังอย่างน้อย 2,500 ปี และมีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเฮเดรียนและจักรวรรดิโรมัน ในประวัติศาสตร์ต่อมา เมืองนี้ถูกยึดครองโดยอาณาจักรมากมาย รวมทั้งพวกซาราเซ็นส์ ลอมบาร์ด สลาฟ และออสโตรกอธ   

เลกเซมีชื่อเสียงในด้านโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ที่สวยงาม จตุรัส Piazza del Duomo เป็นสถานที่ที่ล้อมรอบไปด้วยอาคารที่สวยงาม เช่น มหาวิหารซานตาโครเช (Basilica di Santa Croce) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 จากหิน Lecce เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่สวยที่สุดในเลกเซ และมีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งและด้านหน้าอาคารสไตล์บาโรกที่สวยงาม และอาคารห้องสมุดอันโอ่อ่าที่ดูเหมือนพระราชวังมากกว่า  

โบสถ์ Cattedrale dell’Assunzione della Virgine ตั้งอยู่ในจตุรัส Piazza del Duomo เป็นอาคารทางศาสนาที่สำคัญที่สุดในเมือง สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 มีการออกแบบสไตล์บาโรกคล้ายกับมหาวิหารซานตาโครเช และมีด้านหน้าอาคารทางทิศเหนือที่หรูหราและหอระฆังที่สวยงาม นอกจากนี้ ถนนโดยรอบจัตุรัสยังมีร้านค้าและร้านอาหารมากมายสำหรับผู้ที่ต้องการเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศหรือร้านขานของต่างๆ มากมาย  

ใกล้กับมหาวิหารคือจัตุรัส Piazza Sant’Oronzo อันเป็นที่ตั้งของ โบสถ์ Santa Maria della Grazia ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยบาโรก ตั้งอยู่หน้า ‘อัฒจันทร์โรมัน’ (Roman Amphitheatre) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล และ Palazzo del Sedile อาคารทรงลูกบาศก์ขนาดใหญ่ สร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 16    

ประตูเมือง ‘ปอร์ต้า นาโปลี’ (Porta Napoli) สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1548 เพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 5 พอร์ทัลมีการออกแบบสไตล์บาโรกและทำจากหิน Lecce สีขาว ศูนย์กลางของซุ้มประตูมีเสาสี่เสาอันวิจิตรและมียอดจั่วรูปสามเหลี่ยมที่มีตราสัญลักษณ์ของพระเจ้าชาร์ลที่ 5   


One World Tour & Travel จัดกรุ๊ปทัวร์ท่องเที่ยวทั่วโลก กรุ๊ปเหมาดูงาน, สัมมนา, ท่องเที่ยวประจำปี คุณภาพดีเยี่ยม

☎️ โทร : 02-448-6338
📱 สายด่วน : 085-557-3131
📥 inbox : m.me/1worldtour
📥 Line : @oneworldtour มี@ ข้างหน้าด้วยนะคะ