Most Beautiful Places in the World #1 – อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park)
One World Tour ได้รวมสถานที่น่าตื่นตาตื่นใจ และสวยงามที่สุดมากมายจากทั่วทุกมุมโลก จากสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าประทับใจไปจนถึงโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง เมืองโบราณในฝันที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลึกลับ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ทำให้นักสำรวจต้องตะลึง ซึ่งเป็นเพียง 1% ของสิ่งมหัศจรรย์แพร่กระจายไปทั่วโลก และนี่คือสถานที่สวยงามจากทั่วโลกที่ไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริง และเราอยากแบ่งปัน…
อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกและสำคัญที่สุดของอเมริกาก่อตั้งขึ้นในปี 1872 และยังถือว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ครอบคลุมพื้นที่กว่า 3,500 ตารางไมล์ จากไวโอมิง ถึงไอดาโฮ และมอนทาน่า
นอกเหนือจากทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขาร็อกกี้แล้วอุทยานแห่งนี้ยังเป็นแหล่งอนุรักษ์สัตว์ป่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีสัตว์ป่ามากมายในเยลโลว์สโตน เช่น หมีกริซลี่ หมาป่า กวางมูส กระทิง แบดเจอร์ นาก สิงโตภูเขา เป็นต้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานฯ หญ่ตั้งอยู่ภายใน ‘แคลดีราภูเขาไฟโบราณ’ หรือ ปล่องภูเขาไฟที่ระเบิดแล้ว การปะทุครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 600,000 ปีก่อน
ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของลักษณะความร้อนใต้พิภพของโลกอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโต ประมาณ 500 แห่งและมีจุดระบายความร้อน 10,000 แห่ง น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ น้ำพุร้อนโอลด์ เฟธฟุล (Old Faithful Geyser) ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมและได้รับการยอมรับมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ทะเลสาบเยลโลว์สโตน (Yellowstone Lake) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานฯ มีพื้นที่ประมาณ 136 ตารางไมล์และมีความลึกเฉลี่ย 139 ฟุต จุดที่ลึกที่สุด 390 ฟุต เป็นทะเลสาบยอดนิยมในการตั้งแคมป์ นั่งเรือตกปลา และเดินป่า
แกรนด์แคนยอนเยลโลว์สโตน (Grand Canyon of the Yellowstone) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในอุทยานฯ หุบเขาหน้าผาสะท้อนแสงดวงอาทิตย์สร้างสีสันน่าประทับใจมีความยาวถึง 20 ไมล์ กว้าง 4,000 ฟุต ลึก 1,200 ฟุต ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของอุทยานฯ
สิ่งมหัศจรรย์มีอยู่มากมายในอุทยานฯ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น แกรนด์แคนยอนเยลโลว์สโตน น้ำพุร้อนโอลด์ เฟธฟุล ไปจนถึงสัตว์ป่ามากมาย เช่น ฝูงควายที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา และหมาป่าเยลโลว์สโตนที่ห่างหายไปนานจากป่าเกือบศตวรรษ
Most Beautiful Places in the World #2 – หุบเขาสายรุ้งตันเซี๋ย, จีน (Zhangye Danxia Landform, China)
อุทยานทางธรณีแห่งชาติเมืองจางเย่ (Zhangye Danxia) อดีตเมืองจุดแวะพักบนเส้นทางสายไหม (Silk Road) อยู่ทางทิศตะวันออกของเทือกเขาเทือกเขาฉีเหลียน (Qilian) มณฑลกานซู่ (Gansu) ทางตอนเหนือของประเทศจีน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 50 ตารางกิโลเมตร (19 ตารางไมล์)
หน้าผาสีแดงสูงชันจำนวนมากลักษณะรูปร่างแปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์คล้ายยอดของปราสาท หรือหอคอยสูงที่เมื่อมองผ่านหมอกและเมฆทำให้เกิดทิวทัศน์ที่เหมือนภาพลวงตา ซึ่งส่วนใหญ่มีความสูงหลายร้อยเมตร แนวสันเขาหลากสีที่ผุกร่อนและบางครั้งทอดยาวไปถึงขอบฟ้าดูยิ่งใหญ่ งดงาม แข็งแรงและมีพลัง
ประมาณ 540 ล้านปีก่อนพื้นที่นี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรเนื่องจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกแผ่นดินจึงพับและก่อตัวเป็นภูเขาและยกขึ้นเหนือระดับน้ำทะเล หินทรายสีแดงถูกทับถมในแม่น้ำก่อตัวขึ้นบริเวณนี้ เมื่อดินจมลงในแอ่งหินโคลนที่ทับถมบนหินทรายสีแดงในช่วงเวลาต่างๆ หินตะกอนที่มีสวนผสมของเกลือและเหล็กได้ก่อตัวขึ้นทำให้แต่ละชั้นหินจึงมีสีต่างกัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมตะกอนที่ก่อตัวขึ้นจึงมีสีแดง สีแดงอมม่วง สีเขียวอมเหลือง สีเขียวอมเทา และสีเทาต่างกันทุกชั้นซึ่งใช้เวลาหลายพันปี
การเคลื่อนตัวของเทือกเขาหิมาลัยทำให้พื้นที่สูงขึ้น และเกิดการกัดเซาะของแม่น้ำทำให้เกิดช่องเขาและภูมิทัศน์ ตันเซี๋ยในยุคแรกถูกสร้างขึ้นจากการกัดเซาะของแม่น้ำ และลมทำให้เกิดชั้นสีสันที่เราเห็นในปัจจุบัน และกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “Rainbow Mountains”
หุบเขาสายรุ้งตันเซี๋ยได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2010 เนื่องจากคุณค่าทางธรรมชาติและความงาม และนี่คือจุดเด่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก
Most Beautiful Places in the World #3 – อารามศักดิ์สิทธิ์แห่งเมเตโอร่า (The Holy Meteora Monasteries)
อารามเมเตโอร่าสร้างขึ้นในสมัยไบแซนไทน์ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในกรีซเมื่อหลายศตวรรษก่อน ตั้งอยู่บนโขดหินขนาดมหึมา ความสูงมากกว่า 600 เมตร คำว่า ‘Meteora’ ในภาษากรีกแปลว่า “ลอยอยู่กลางอากาศ” และวลีนี้อธิบายได้อย่างเหมาะเจาะกับอารามกรีกออร์โธดอกซ์ที่น่าทึ่งเหล่านี้
อารามเมเตโอร่าไม่เพียงแต่ให้ทัศนียภาพที่น่าทึ่งของภูมิทัศน์โดยรอบเท่านั้น แต่ยังมีมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของชีวิตสงฆ์ในยุคกลางอีกด้วย
อารามเมเตโอร่าตั้งอยู่ใกล้กับเมืองคาลัมบาก้า (Kalambaka) ใกล้กับเทือกเขาพินดัส ห่างจากกรุงเอเธนส์ไปทางเหนือประมาณ 360 กม. จากการศึกษาพบว่าหินเหล่านี้ก่อตัวขึ้นเมื่อ 60 ล้านปีก่อน เมื่อการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศและแผ่นดินไหวทำให้ภูเขาหินเหล่านี้มีรูปร่างอย่างในปัจจุบัน
ระหว่างศตวรรษที่ 14 ถึง 16 มีอาราม 24 แห่งในกรีซที่สร้างขึ้นบนเสาหินทรายขนาดยักษ์ แต่มีเพียง 6 แห่งเท่านั้นที่ยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
1.Holy Monastery of Great Meteoron อารามศักดิ์สิทธิ์แห่งเมเตโอร่าที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในบรรดาอารามศักดิ์สิทธิ์แห่งเมเทโอราก็สูงที่สุดเช่นกันโดยสูงกว่า 615 เมตร
2.Holy Monastery of Varlaam อารามศักดิ์สิทธิ์แห่งวาร์ลาอัมที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอารามเมเทโอรา
3.Holy Monastery of Rousanou อารามศักดิ์สิทธิ์แห่งรูซานูอยู่ในระดับต่ำกว่าอารามอื่น ๆ อีก 6 แห่ง เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เข้าถึงได้ง่ายด้วยสะพานที่ได้รับการบูรณะใหม่ ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 16
4.Holy Monastery of St. Nicholas Anapafsas อารามศักดิ์สิทธิ์แห่งเซนต์นิโคลัส อนาโปซาส เป็นอารามขนาดค่อนข้างเล็กเนื่องจากสร้างบนมีพื้นที่จำกัด
5.Holy Monastery of St. Stephen อารามแห่งเดียวในเมเทโอราที่มองเห็นได้จากเมืองคาลัมบาก้า และเข้าถึงได้ง่ายที่สุดด้วยสะพานข้ามเล็กๆ
6.Holy Monastery of Holy Trinity อาจเป็นที่รู้จักมากที่สุดของอาราม เมเตโอรา เพราะเป็นฉากในภาพยนตร์เรื่องเจมส์บอนด์ 007 ปี 1981 ตอน For Your Eyes Only
ปัจจุบันเมเทโอราเป็นแหล่งโบราณคดีที่ใหญ่ที่สุดของกรีซ นอกจากนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 1989 และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการของกรีซตั้งแต่ปี 1995 เสาหินขนาดยักษ์ที่ซับซ้อนจำนวนมากพร้อมด้วยอารามที่สร้างขึ้นบนหน้าผาหินทรายที่คัดสรรมาเมื่อหลายศตวรรษก่อนสร้างภูมิทัศน์เหนือจริงที่หาที่ไหนไม่ได้ในโลก
Most Beautiful Places in the World #4 – แม่น้ำหลี่ (Li River, China)
เป็นทางน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของจีนและตั้งอยู่ในจังหวัดทางตอนใต้ของกว่างซี มีต้นกำเนิดในเทือกเขาเหมาเอ๋อ (เขตซิงอัน) ตอนเหนือแม่น้ำไหลไปทางทิศใต้ผ่านกุ้ยหลิน Guilin และหยางซั่ว Yangshuo ระยะทางประมาณ 83 กิโลเมตร
ส่วนบนของแม่น้ำหลี่ นี้ยังมีคลองหลิงฉวีโบราณ (Lingqu) ในขณะที่ส่วนของแม่น้ำหลี่ระหว่างกุ้ยหลิน และหยางซั่วถือเป็นจุดที่สวยงามและสวยงามที่สุด และแม่น้ำหลี่ยังใช้เป็นภาพถ่ายบนธนบัตร 20 หยวนของจีน
แม่น้ำหลี่เป็นส่วนหนึ่งของทิวทัศน์ของกุ้ยหลินซึ่งมีประวัติอันยาวนาน อันที่จริงเมื่อประมาณแปดพันปีก่อนชุมชนดั้งเดิมอาศัยอยู่ในบริเวณนี้
ใน 214 ปีก่อนคริสตกาล จักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ประสงค์ให้ขุดคลองหลิงฉวี ซึ่งนับว่าเป็นคลองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ในสมัยราชวงศ์ซ่งแม่น้ำหลี่เป็นที่รู้จักในด้านความสวยงามและเริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมทั่วประเทศจีน ในปี 1982 สภาแห่งรัฐถือว่าเขตชมวิวแม่น้ำหลี่เป็นสถานที่ที่มีความงดงามและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
แม่น้ำหลี่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรมดั้งเดิมตั้งแต่นาข้าวและชาวบ้านในท้องถิ่นไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย เช่น
ถ้ำขลุ่ยอ้อ (Reed Flute Cave) เป็นถ้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในการเยี่ยมชมริมแม่น้ำหลี่ มีหินงอกหินย้อยมากมาย
เนินเขางวงช้าง (Elephant Trunk Hill) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเป็นภูเขา karst ที่มีรูปร่างเหมือนงวงช้างลงไปในน้ำ
สวนเจ็ดดาว (Seven Star Park) สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกุ้ยหลินตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำหลี่
Most Beautiful Places in the World #5 – หุบเขาโมนูเมนต์ (Monument Valley Park)
หรือที่ชาวเผ่านาวาโฮ (Navajo) รู้จักในชื่อ ‘Tse’Bii’Ndzisgaii’ เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐยูทาห์และชายแดนทางตอนเหนือของรัฐแอริโซนา เป็นหนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งและถูกถ่ายภาพมากที่สุดในโลก
ในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมาพลังแห่งลมและน้ำได้หล่อหลอมให้ดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ที่เป็นส่วนหนึ่งของเขตสงวนของชนชาตินาวาโฮ (Navajo Nation) ซึ่งเป็นอินเดียนแดงกลุ่มใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกา
วัฒนธรรมนาวาโฮได้หยั่งรากลึกหลายศตวรรษก่อนที่ชาวสเปนจะเข้ามาในพื้นที่ในปี 1581 และลูกหลานของพวกเขา 250,000 คนยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่กว่า 16 ล้านเอเคอร์
ก่อนการดำรงอยู่ของมนุษย์ พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นแอ่งที่ราบลุ่มเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี พลังธรรมชาติของลมและน้ำที่กัดเซาะแผ่นดินในล้านปีที่ผ่านมา การสึกกร่อนของชั้นหินที่เปลี่ยนแปลงได้เผยให้เห็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของหุบเขาโมนูเมนต์ในปัจจุบัน
แท่งหินทรายขนาดมหึมาสูงตระหง่านโดดเดี่ยวล้อมรอบไปด้วยทะเลทรายว่างเปล่าสุดสายตาได้รับการถ่ายทำภาพยนต์ และถ่ายภาพนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่าน หุบเขาอันยิ่งใหญ่แห่งนี้มีผลงานชิ้นเอกจากหินทรายที่ตั้งตระหง่านที่ความสูง 400 ถึง 1,000 ฟุตเหนือพื้นหุบเขา เมื่อรวมกับสภาพแวดล้อมของทะเลทรายทำให้กลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกอย่างแท้จริง
Most Beautiful Places in the World #6 – พุกาม ‘ดินแดนแห่งเจดีย์พันองค์’ (Bagan, Myanmar)
หรือ ‘เขตโบราณคดีพุกาม’ เป็นแหล่งโบราณคดีที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พุกามตั้งอยู่บนโค้งของแม่น้ำอิระวดีในที่ราบตอนกลางของเมียนมาร์เป็นภูมิทัศน์อันศักดิ์สิทธิ์ที่มีงานศิลปะและสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาที่โดดเด่น แสดงให้เห็นถึงจุดสูงสุดของอารยธรรมพุกาม (ศตวรรษที่ 11-13 ก่อนคริสต์ศักราช)
พุกามเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรพุกามตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ถึง 13 ป็นอาณาจักรแรกที่รวมพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศเมียนมาร์ เช่นเดียวกับพุทธศาสนานิกายเถรวาทในภูมิภาคนี้ ช่วงเวลาแห่งการเติบโตของอาณาจักร วัดกว่า 10,000 แห่งถูกสร้างตั้งตระหง่านเหนือที่ราบมัณฑะเลย์ รอบเมืองหลวงที่ติดกับแม่น้ำอิระวดี
ในช่วงปีค.ศ. 1044 พระเจ้าอโนรธามังช่อ สามารถรวบรวมแผ่นดินและก่อตั้งอาณาจักรพุกามขึ้นมาได้สำเร็จ ซึ่งเป็นช่วงยุคทองของอาณาจักรพุกาม (1044-1077) อาณาจักรพุกามกลายเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งที่สุดในดินแดนพม่า
จนกระทั่งกองกำลังของกุบไลข่านเข้ายึดครองในปี 1287 นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรพุกาม ไม่มีวันที่จะฟื้นคืนความรุ่งเรืองในอดีตอย่างไร ในที่สุดเมืองนี้ก็ถูกลดลงเหลือเพียงการตั้งถิ่นฐานเล็กๆ อย่างไรก็ตามพื้นที่นี้ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการแสวงบุญของชาวพุทธ
ปี 1975 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมืองพุกามซึ่งสร้างความเสียหายให้กับวัดหลายแห่ง ในช่วงปี 1990 รัฐบาลพม่าได้มีการบูรณะวัดและเจดีย์หลายแห่งที่เสียหาย แต่น่าเสียดายที่การบูรณะไม่ได้ทำโดยคำนึงถึงแนวคิดทางสถาปัตยกรรมดั้งเดิม โบราณจำนวนมากได้รับความเสียหายอีกครั้งในจากแผ่นดินไหวในปี 2016 ปัจจุบันโบราณสถานซึ่งรวมทั้งวัดและเจดีย์ที่มีการบันทึกไว้มีเพียง 3,595 แห่งเท่านั้นที่ยังคงอยู่
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2019 พุกามได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ทำให้พุกามเป็นมรดกโลกแห่งที่สองในพม่าต่อจาก กลุ่มเมืองโบราณอาณาจักรพยู (Pyu Ancient Cities) ในปี 2014
Most Beautiful Places in the World #7 – วิหาร อัล เดอีร์, นครเพตรา (El Deir (The Monastery)
Petra, Jordan แหล่งโบราณคดีที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาและภูเขากลางทะเลทรายซึ่งปัจจุบันคือฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ระหว่างทะเลแดงและทะเลเดดซี ครั้งหนึ่งเพตราเคยเป็นศูนย์กลางการค้าที่เฟื่องฟูและเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรนาบาเทียนระหว่าง 400 ปีก่อนคริสตกาล ถึงค.ศ.106
เมื่อกรุงโรมเข้าครอบครองเพตราอย่างเป็นทางการในปีค.ศ.106 ความสำคัญในการค้าระหว่างประเทศเริ่มลดลงเมืองเริ่มความเสื่อมโทรม และถูกทิ้งร้างมานานหลายศตวรรษ
ชื่อภาษาอาหรับ “Ad Deir” (อาราม) (الدير) หรือที่เรียกว่า el Deir ถูกมอบให้โดยชาวเบดูอินพื้นเมือง เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่แกะสลักจากหินทรายโดยชาวนาบาเทียน สร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของกษัตริย์นาบาเทียน โอโบดาสที่ 1 (Nabataean King, Obodas I) ซึ่งครองราชย์ในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช
จะเห็นได้ว่าว่าชาวนาบาเทียนผสมผสานประเพณีทางศิลปะของตะวันออกและตะวันตกในรูปแบบที่แตกต่างและไม่เหมือนใครได้อย่างกลมกลืน ด้านหน้าของซุ้มประตู กว้าง 24.9 เมตร สูง 38.77 เมตร แสดงให้เห็นถึงสไตล์สถาปัตยกรรมเฮลเลนิสติกได้ชัดเจนที่สุดและสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของเมืองอเล็กซานเดรียซึ่งเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ในขณะนี้สถาปัตยกรรมมีลักษณะเป็นจั่วและเสากลาง มีการใช้เสาโครินเธียน (Corinthian) เหนือฐานของเสาโอเบลิสก์สองด้านที่เกาะสลักเข้าไปในหิน
การตกแต่งประติมากรรมยังเน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงกับเฮลเลนิสติกที่ชั้นบนขนาบข้างด้วยรูปสลักผู้หญิงตรงกลาง ซึ่งน่าจะเป็นเทพีไอซิส (Isis) ธิดาของเทพรา (RA) สุริยเทพผู้ซึ่งเป็นฟาโรห์องค์แรกของอียิปต์ และเทพีไทคี (Tyche) เทพีแห่งโชคลาภ บุตรีของซุส (Zeus) ซึ่งเป็นการรวมกันของความเชื่อของชาวอียิปต์และกรีก
ชั้นล่างมีเทพเจ้าฝาแฝดของกรีก เทพคาสเตอร์-พอลลักส์ (Castor and Pollux) ซึ่งเป็นบุตรชายของเทพจูปีเตอร์ ผู้ปกป้องนักเดินทางและคนตายในการเดินทาง ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะของกับเฮลเลนิสติก ได้แก่ รูปสลักนกอินทรีที่สัญลักษณ์ของราชวงศ์ปโตเลมี
ในช่วงต้นปี 1800 นักท่องเที่ยวชาวยุโรปคนหนึ่งได้ปลอมตัวในชุดเบดูอินและแทรกซึมเข้าไปในสถานที่ลึกลับแห่งนี้ และฉากหลายฉากจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Indiana Jones และ Last Crusade ถ่ายทำในนครเพตรา ในปี 1985 อุทยานโบราณคดีแห่งเพตรา ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และในปี 2007 ก็ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ของโลก
Most Beautiful Places in the World #8 – นาขั้นบันได ‘มู กาง จ๋าย’ เวียตนาม (Mù Cang Chả, Vietnam)
ลึกลงไปในหุบเขาที่ตระหง่านเหนือผืนแม่แม่น้ำแดง มีหมู่บ้านบนภูเขาหลากสีสันที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนาขั้นบันไดสีเขียวมรกตที่ดูเหมือนเป็นทางขึ้นไปสู่สวรรค์เบื้องบน
เมืองบนภูเขาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดเอียนบ๊าย (Yên Bái) ห่างจากฮานอยประมาณ 300 กม. ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตรมีลักษณะภูมิประเทศพิเศษที่มีเนินเขาสูงชันและหุบเขาลึกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยในท้องถิ่น
หลายศตวรรษที่ผ่านมาบรรพบุรุษของชาวเขาในท้องถิ่นของเวียดนามตอนเหนือได้สร้างสถานที่แห่งนี้ซึ่งสามารถใช้งานได้จริงและมีความงามที่ลึกซึ้งด้วยเหตุผลพื้นฐานที่สุดนั่นคือ ‘เพื่อความอยู่รอด’
ข้าวเจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่มีน้ำขังทำให้เหมาะสำหรับพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงที่ถูกน้ำท่วมทางตอนใต้ของประเทศ แต่ในการปลูกข้าวในสภาพภูเขาในแนวตั้งนี้ ชาวเขาได้สร้างระบบขั้นบันไดเพื่อควบคุมการไหลลงของน้ำโดยใช้ความเฉลียวฉลาดความมีไหวพริบ การทำงานที่เหนื่อยล้าอย่างเต็มนี้ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และความงดงามที่น่าทึ่ง และยังคงเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบัน
ทุกปีระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมทุ่งนาขั้นบันไดของมู กาง จ๋าย สีสันแห่งการเก็บเกี่ยวที่งดงามท่ามกลางรุ่งอรุณที่สดชื่นและชุ่มฉ่ำด้วยน้ำค้าง นาข้าวหลายร้อยขั้น ระเบียงคดโค้งแม้จะสร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์ แต่ก็ดูกลมกลืนกับภูมิประเทศอย่างสมบูรณ์ สีของต้นข้าวที่สุกจากสีเขียวกำลังเปลี่ยนเป็นสีทองและสีน้ำตาลเป็นประกาย คล้ายเป็น ‘โรงละครแห่งข้าว’ (สำหรับการเก็บเกี่ยวซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละปีขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ) ซึ่งในนาขั้นบันไดทางตอนเหนือของเวียดนามสามารถปลูกข้าวได้ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
โดยรวมแล้วนาขั้นบันไดครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,200 เฮกตาร์ในมู กาง จ๋าย ซึ่งมีถึง 500 แห่งที่ได้รับการกำหนดให้เป็นมรดกแห่งชาติโดยกระทรวงวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยวของเวียดนามในปี 2007
มู กาง จ๋ายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนกว่า 42,000 คนโดยส่วนใหญ่เป็นชนบทชนบทเต็มไปด้วยบ้านเรือน เกสต์เฮาส์ และโฮมสเตย์แบบเรียบง่าย
Most Beautiful Places in the World #9 – เกาะซานโตรินี (Santorini Island in Greece)
หนึ่งในจุดหมายปลายทาง เกาะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรีซ และอาจเป็นเกาะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ‘ซานโตรีนี’ หรือ ‘เธียรา’ (Thera) เป็นเกาะกรีกทางตอนใต้ของทะเลอีเจียนและเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซิคละดีส (Cyclades) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ‘เฮโรโดทัส’ กล่าวว่าคนกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงที่นี่คือชาวฟินีเซียนในศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสต์ศักราชซึ่งให้ชื่อเกาะว่า Kallisti (สวยงามที่สุด) เนื่องจากความหลงใหลในความงามที่ไม่ธรรมดาของเกาะนี้ ประมาณหนึ่งศตวรรษต่อมาชาวดอเรียน (Dorians) จากสปาร์ตาได้เข้ามาตั้งรกรากที่เกาะและตั้งชื่อนี้ว่า ‘เธียรา’ (Thera) ตามชื่อราชาในตำนานของพวกเขา
แต่ใน 426-425 ปีก่อนคริสตกาลซานโตรินีเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเอเธนส์ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน หลังจากการล่มสลายของคอนสแตนติโนเปิลไปสู่สงครามครูเสดครั้งที่ 4 ในปีค.ศ.1204 ซานโตรีนีและเกาะอื่น ๆ ในทะเลอีเจียนตกไปอยู่ในอำนาจการปกครองของมาร์โก ซานูโด (Duchy of Naxos) ชาวเวนิส ชื่อ ‘ซานโตรีนี’ ได้รับจากสงครามครูเสดตามโบสถ์เซนต์ไอรีน (Santa Irini-ซานตา อิรินี)
ระหว่างปี 1579-1821 เกาะนี้อยู่ภายใต้การปกครองของตุรกี และชาวเติร์กตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Dermetzik ซึ่งแปลว่า ‘โรงสีขนาดเล็ก’ อาจเป็นเพราะมีกังหันลมจำนวนมากบนเกาะ และถูกผนวกเข้ากับกรีซในปี 1912 ในสงครามประกาศอิสรภาพของกรีก
จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ซานโตรีนีมีการค้าขายทางเรือที่เฟื่องฟูและการส่งออกสินค้า ได้แก่ ฝ้ายสิ่งทอผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและไวน์ ความเจริญรุ่งเรืองนี้สิ้นสุดลงในปี 1956 หลังจากการเกิดแผ่นดินไหวตามมาด้วยการปะทุของภูเขาไฟซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก การอพยพและถูกทิ้งร้างแผ่ขยายไปทั่วเกาะจนถึงปี 1970 หลังจากนั้นเริ่มมีการบูรณะฟื้นฟูซานโตรินีขึ้นมาอีกครั้ง
นอกจากทัศนียภาพที่โดดเด่นของปล่องภูเขาไฟแล้ว ยังมีหมู่บ้านที่งดงามและมีเสน่ห์ มากมายในซานโตรีนี แต่ละแห่งมีความสวยงามโดดเด่นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เมืองโบราณ รวมถึงผู้คนที่มีอัธยาศัยดี ชายฝั่งที่สวยงาม ไร่องุ่นกว้างใหญ่ และหุบเขาสีเขียวแล้ว ซานโตรีนียังเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องพระอาทิตย์ตกที่ต้องมนต์สะกดซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับนักท่องเที่ยวนับล้านทุกปี
Most Beautiful Places in the World #10 – อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิเซ่ (The Plitvice Lakes, Croatia)
อุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดของโครเอเชีย ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่แห่งความงดงามทางธรรมชาติที่โดดเด่น ต่อมาได้รับสถานะเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 1979
อุทยานแห่งชาติครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 300 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทะเลสาบ 16 แห่งซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยน้ำตก 90 แห่งที่ซ่อนตัวอยู่ป่าลึก แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ‘ทะเลสาบตอนบน’ (Gornja jezera) และ ‘ทะเลสาบตอนล่าง’ (Donja Jezera) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ‘Great Waterfall’ (Veliki Slap) ที่เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในโครเอเชีย สูง 78 เมตร นอกจากนี้ยังมีความสูงที่แตกต่างกันมากจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,280 เมตร ต่ำสุดที่ 380 เมตร
น้ำที่ไหลผ่านหินปูนและตะกอนได้ทับถมไว้เป็นเวลาหลายพันปีทำให้เกิดเขื่อนตามธรรมชาติซึ่งจะทำให้เกิดทะเลสาบ ถ้ำ และน้ำตกที่สวยงามมากมาย กระบวนการทางธรณีวิทยาเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบัน อุทยานแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด เช่น หมี หมาป่า นาก หมูป่า สกั๊งค์ กระรอก กระต่าย สุนัขจิ้งจอก และนกนานาชนิด
อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในโครเอเชียและที่มีเสน่ห์ที่สุดในยุโรปแห่งนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรื่องราวลึกลับมากมาย เช่น ตำนาน Legend of the Black Queen ที่กล่าวถึงราชินีดำผู้สร้างทะเลสาบ Prošćansko Jezero ซึ่งเป็นทะเลสาบแห่งแรกของอุทยานฯ หรือ ตำนานของขุมทรัพย์โบราณ (Gavanovo Treasure) ที่เชื่อว่ายังคงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในทะเลสาบ Gavanovac Jezero และตำนานของนักบวชผู้ทรงปรีชาญาณที่อาศัยอยู่ในถ้ำ Šupljara หรือ Golubnjača
สีสันสดใสของทะเลสาบและเส้นทางที่เงียบสงบในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติเหล่านี้รับประกันได้ว่าจะทำให้คุณหลีกหนีจากเมืองที่วุ่นวายได้แน่นอน
Most Beautiful Places in the World #11 – อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park)
สัญลักษณ์ของความงดงามทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1890 ในเทือกเขาเซียร์ราเนวาดาของแคลิฟอร์เนีย และมีชื่อเสียงในเรื่องหน้าผาที่สูงชัน หุบเขาลึก น้ำตก แม่น้ำ และดงของต้นสนเซควาเอียโบราณ
ชาวอเมริกันพื้นเมืองเป็นผู้อยู่อาศัยหลักของหุบเขาโยเซมิตี จนถึงปี 1849 การตื่นทองได้นำคนงานเหมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานที่ไม่ใช่ชาวอินเดียนหลายพันคนมาสู่ที่นี่และสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศของหุบเขาโยเซมิตี
ในปี 1903 ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ (Theodor Roosevelt) ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกา และ จอห์น มิวเออร์ (John Muir) นักธรรมชาติวิทยาได้มาตั้งค่ายที่ Glacier Point เป็นเวลาสามวัน มิวเออร์เรียกร้องให้รูสเวลต์รักษาและปกป้องสิ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งที่สุดของแคลิฟอร์เนีย
“ไม่มีที่ไหนเลยที่คุณจะได้เห็นการดำเนินงานอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่เผยให้เห็นอย่างชัดเจนมากขึ้น นอกเหนือจากสิ่งที่อ่อนแอที่สุด อ่อนโยนและเงียบสงบที่สุด” มิวเออร์ได้เขียนขึ้นขณะที่เขานั่งตกตะลึงชื่นชมหินแกรนิตขนาดมหึมาและน้ำตกที่ลดหลั่นกันภายในพื้นที่รกร้างของเซียร์ราเนวาดา
อุทยานแห่งชาติโยเซมิตีมีพื้นที่เกือบ 1,200 ตารางไมล์ทำให้มีขนาดเท่ากับรัฐโรดไอส์แลนด์ของสหรัฐฯ มีนักเดินทางแวะมาเยือนที่นี่ประมาณ 4 ล้านคนต่อปีนั่นเป็นเพราะหุบเขาโยเซมิตีเป็นที่ตั้งของจุดชมวิวและสถานที่สำคัญที่โดดเด่นงดงาม
จุดชมวิวกลาเซียร์พอยท์ (Glacier Point) ซึ่งตั้งอยู่เหนือหุบเขาโยเซมิตีกว่า 4,000 ฟุต การเดินป่านี้จะนำไปพบกับทัศนียภาพอันงดงามของสัญลักษณ์ของโยเซมิตีแบบพาโนรามา เช่น น้ำตกโยเซมิตีที่สูงถึง 2,425 ฟุต ซึ่งเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รวมถึง น้ำตกเวอร์นัล (Vernal Fall) และน้ำตกเนวาดา (Nevada Fall) และการก่อตัวของภูเขาฮาล์ฟโดม (Half Dome) และภูเขาเอลแคปปิตอล (El Capitan) ซึ่งเป็นเสาหินแกรนิตที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และดงของต้นสนเซควาเอียยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Most Beautiful Places in the World #12 – มาชู ปิกชู (Machu Picchu, Peru)
ซากปรักหักพังที่ตั้งอยู่บนเนินสูงของเทือกเขาแอนดีสยังคงเผยให้เห็นความลึกลับที่ซ่อนอยู่ใต้ลิ้นชักประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอินคา ในภาษาพื้นเมืองเกชัว (Quechua) คำว่า ‘Machu Picchu’ หมายถึง “Old Peak” หรือ“ Old Mountain”
มาชู ปิกชูสร้างขึ้นในราวปี 1450 และถูกค้นพบในปี 1911 ยังคงซ่อนปริศนาและความลึกลับเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงซึ่งยังคงถูกซ่อนอยู่จนถึงทุกวันนี้และกระตุ้นความสนใจของทั้งผู้มาเยือนและนักโบราณคดีจากทั่วทุกมุมโลก
เชื่อกันว่ามาชูปิกชูสร้างขึ้นโดย Pachacuti Inca Yupanqui ผู้ปกครองคนที่เก้าของอินคา ในช่วงกลางทศวรรษ 1400 ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 7,970 ฟุต (2,430 เมตร) บนทางลาดด้านตะวันออกของเทือกเขาแอนดีส และสามารถมองเห็นแม่น้ำแม่น้ำอูรูบัมบา (Urubamba River) ด้านล่าง
มีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับความหมายของมาชู ปิกชู อินคาบางคนโต้แย้งว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานที่ยิ่งใหญ่กษัตริย์อินคา ปาชาคูติ ในขณะที่นักโบราณคดีบางคนเชื่อว่ามาชูปิกชูถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพื้นที่ จักรพรรดิและครอบครัวจะมาเพื่อพักผ่อนเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ที่น่าสนใจคือที่ประทับของจักรพรรดิเองดูเหมือนจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของพื้นที่ที่รู้จักกันในปัจจุบันในชื่อ “Temple of the Sun” ซึ่งอยู่ติดกัน
ความจริงก็คือมาชูปิกชูเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเบื้องหลังสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมอันน่าประทับใจของอาณาจักรอินคา แม้ว่าต้นกำเนิดของมันจะยังคงเป็นความลับและเป็นเรื่องของการศึกษา แต่คุณค่าและความสำคัญก็แสดงให้เห็นถึงความสง่างามจนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยใหม่
มาชู ปิกชู ได้รับการประกาศโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของมนุษยชาติในปี 1983 อาจเป็นสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของอาณาจักรอินคา ป้อมปราการแห่งนี้ประกอบด้วย วัด พระราชวัง ระเบียง อาคาร และกำแพงเมือง สร้างด้วยหินก้อนใหญ่โดยไม่มีส่วนผสมใดๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของอารยธรรมอินคา
Most Beautiful Places in the World #13 – ทะเลสาบโมเรน, แคนาดา (Moraine Lake, Canada)
ทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ในอ้อมกอดของเทือกเขาร็อกกี้อันงดงาม ที่ปรากฏอยู่บนด้านหลังธนบัตร 20 ดอลลาร์แคนาดา
อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) เป็นเขตอนุรักษ์แห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดของแคนาดา ก่อตั้งขึ้นในปี 1855 เต็มไปด้วยสถานที่ที่งดงาม และหนึ่งในนั้นคือ ‘ทะเลสาบโมเรน’ ซึ่งเป็นภูมิทัศน์ที่สวยงามน่าทึ่ง อยู่ห่างจากหมู่บ้านเล็กๆ ของทะเลสาบเลค หลุยส์ (Lake Louise) ไปทางตะวันออกเฉียงใต้เพียง 14 กิโลเมตร ธารน้ำแข็งสีเขียวอมฟ้าสดใสเป็นผลมาจากการหักเหของแสงและธารน้ำแข็ง ซึ่งไหลออกมาลงสู่ทะเลสาบที่ระดับความสูง 1,885 เมตร (6,183 ฟุต)
ทะเลสาบโมเรนมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของทะเลสาบเลค หลุยส์ ตั้งอยู่ใน ‘หุบเขาสิบยอดสิบยอด’ หรือ Valley of the Ten Peaks ซึ่งตั้งชื่อตามภูเขาสูงที่ล้อมรอบทะเลสาบอันบริสุทธิ์ หุบเขาสิบยอดนี้ได้รับการตั้งชื่อโดย ซามูเอล อัลเลน ซึ่งเป็นหนึ่งในนักสำรวจที่ไม่ใช่ชาวพื้นเมืองกลุ่มแรกที่เข้าถึงบริเวณที่นี้
ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤษภาคมถนนที่นำไปยังทะเลสาบจะถูกปิดเนื่องจากความเสี่ยงจากหิมะถล่ม ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเยือนทะเลสาบโมเรนปลายเดือนมิถุนายน ด้วยระดับน้ำที่ขึ้นสูงและสีที่สดใสของทะเลสาบโมเรนในหุบเขาทั้งสิบที่ตั้งตระหง่านโดยรอบทำให้เกิดฉากที่ลงตัวเหนือจินตนาการนี้ขึ้นมา
Most Beautiful Places in the World #14 – อ่าวฮาลองเบย์ (Halong Bay, Vietnam)
เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ตั้งอยู่ในอ่าวตังเกี๋ย จังหวัดกว๋างนิญ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนามใกล้กับชายแดนจีน ห่างจากเมืองหลวงฮานอย 165 กม.
เกาะหินปูน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ถึง 1,969 เกาะตระหง่านอยู่บนเส้นขอบฟ้า บางครั้งมีการเปรียบเทียบความงดงามกับกุ้ยหลินในประเทศจีน หรือทะเลกระบี่ และอ่าวพังงาของประเทศไทย พื้นที่พิเศษแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1994
ฮาลองในภาษาเวียดนามหมายถึง ‘ที่ซึ่งมังกรลงสู่ทะเล’ ตามตำนานโบราณเล่าว่าไม่นานหลังจากชาวเวียดนามดั้งเดิมเข้ามาตั้งรกรากในพื้นแผ่นดินนี้ มีผู้รุกรานก็เริ่มเข้าใกล้ชายฝั่งของอ่าวฮาลอง จักรพรรดิหยกได้เรียกมังกรที่ทรงพลังจากท้องฟ้าเพื่อช่วยชาวเวียดนามต่อต้านผู้รุกราน โดยมังกรได้พ่นไข่มุก และอัญมณีต่างออกมาหลายพันเม็ดซึ่งเมื่อกระทบกับมหาสมุทรแล้วก็เกิดเป็นเกาะหินหลายพันเกาะกลายเป็นปราการป้องกันผู้รุกราน ในขณะที่เรือของผู้รุกรานเหล่านี้ได้ชนเกาะหินและอับปางลง เรื่องราวของอ่าวฮาลองนี้ช่วยเพิ่มความมหัศจรรย์ให้กับภูมิทัศน์เหนือจริงที่คงอยู่มาแล้วกว่า 500 ล้านปี!
จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 19 ชื่อของอ่าวฮาลองก็ปรากฏบนแผนที่ทางทะเลของฝรั่งเศส Hai Phong News หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสในยุคนั้นมีบทความเรื่องการ ‘ปรากฏตัวของมังกรบนอ่าวฮาลอง’ โดยรายงานว่าพบเห็นงูทะเลขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนมังกรที่อ่าวฮาลองโดยมีลูกเรือหลายคนช่วยกันยืนยัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภาพมังกรเอเชียในยุโรปส่งผลให้ชื่อ ‘ฮาลองเบย์’ เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ภาพของเรือหลากหลายประเภทตั้งแต่เรือสำเภาไม้ไปจนถึงเรือยอชต์หรูหรา หรือพายเรือคายัคไปพร้อมกันบนผืนน้ำอันเงียบสงบของฮาลองที่มีสีเขียวอมฟ้ายามต้องแสงอาทิตย์ หรือการเฝ้าดูช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังลาลับจากเส้นขอบฟ้าก็เป็นบรรยากาศที่น่าหลงใหลที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม
Most Beautiful Places in the World #15 – เมืองเวนิส, อิตาลี (Venice, Italy)
เมืองที่แสนโรแมนติกตั้งอยู่ในแคว้นเวเนโตของอิตาลี
มีเพียงไม่กี่เมืองที่สามารถอ้างสิทธิ์ในมรดกทางศิลปะและประวัติศาสตร์อันล้ำค่าเช่นเวนิส เมืองที่มีมนต์ขลังและงดงามแห่งนี้ไม่ได้มีแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริงของอัจฉริยะด้านการสร้างสรรค์ขึ้นบนเกาะเล็ก ๆ กว่า 100 เกาะในทะเลเอเดรียติก
พื้นที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองคือเส้นทางสัญจรของคลองใหญ่ หรือ แกรนด์คาแนลที่มีชื่อเสียงระดับโลกซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
จัตุรัสกลางในเวนิสที่เรียกว่า ‘ปิอัซซา ซาน มาร์โค’ (Piazza San Marco) ที่นี่เป็นที่ตั้งของ ‘ปาลัซโซ ดูกาเล’ หรือ ‘พระราชวังดอจ์ด’ (Palazzo Ducale / Doge’s Palace) ผลงานชิ้นเอกสไตล์โกธิคที่มีสีชมพูและอาคารหินอ่อนสีขาวกับสถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามของพระราชวังที่เต็มไปด้วยศิลปะประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนซึ่งย้อนกลับไปกว่า 1,000 ปี
หอระฆังโมเสกแบบไบแซนไทน์ที่ตั้งตระหง่านเหนือฝูงชนมากกว่า 300 ฟุต และมหาวิหารเซนต์มาร์กที่ได้รับการชื่นชมอย่างเต็มที่ไม่เพียงแต่เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมอิตาลีที่น่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการเฉลิมฉลองเทศกาลเวนิสคาร์นิวัลทุกปีอีกด้วย
เรือกอนโดลาหนึ่งในสัญลักษณ์ของเวนิสได้รับการออกแบบอย่างวิจิตรงดงาม โดยขนาดและรูปร่างไม่ได้เปลี่ยนไปในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 15 เวนิสมีเรือกอนโดลา ถึง 29,000 ลำ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 425 ลำเท่านั้น
อเล็กซานเดอร์ เฮอร์เซน (Alexander Herzen) นักคิดและนักเขียนชาวรัสเซีย ให้คำอธิบายเกี่ยวกับเวนิสไว้ว่า…
…‘เป็นเรื่องไร้สาระที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก มันบ้ามากพอที่จะสร้างเมืองที่ไม่เคยมีใครสร้างได้ แต่การสร้างเมืองที่สง่างามและโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลกทำได้เพียงอัจฉริยะที่บ้าคลั่ง’ เท่านั้น
อย่างไรก็ตามมันเป็นความท้าทายอย่างแท้จริงในการสร้างเมืองที่สวยงามเช่นนี้พื้นที่ที่ไม่มีใครอยู่อาศัย – ไม่ใช่บนผืนดิน แต่เป็นบนน้ำ!
เวนิสผ่านช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองและความล่มสลายหลายช่วงเวลา กว่าหนึ่งพันปีและครึ่งหนึ่งของประวัติศาสตร์เวนิสมีเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากมายไม่ว่าจะเป็นสงครามต่างๆ รวมถึงสงครามครูเสด ปัจจุบันเวนิสเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นักท่องเที่ยว 15 ล้านคนที่มาเยือนเวนิสทุกปี
Most Beautiful Places in the World #16 – น้ำตกอีกวาซู (Iguazu Falls, Argentina-Brazil)
ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศอาร์เจนตินา
น้ำตกอีกวาซู ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1984 (อาร์เจนตินา) และปี 1986 (บราซิล) และยังได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติยุคใหม่ (New Seven Wonders of Nature) ในปี 2011 อุทยานแห่งชาติอีกวาซูประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติ 2 แห่งแห่งหนึ่งที่ ‘ฟอซเดอ อีกวาซู’ (Foz de Iguazu) ในบราซิล และอีกแห่งที่ ‘ปวยร์โต อีกวาซู’ (Puerto Iguazu) ในอาร์เจนตินา มีขนาด 252,982 เฮกตาร์ (67,720 ในฝั่งอาร์เจนตินาและ 185,262 ในฝั่งบราซิล) ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี 1934 ในอาร์เจนตินา และ ปี 1939 ในบราซิล
มีน้ำตกถึง 275 แห่งกระจายอยู่ในความยาว 2.7 กม. (1.7 ไมล์) ส่วนที่น่าประทับใจที่สุดคือ “คอปีศาจ” ยังสูงที่สุด 82 ม. (269 ฟุต) บุคคลแรกที่พบน้ำตกอีกวาซูคือนักสำรวจชาวสเปนชื่อ ‘Alvar Nuñez Cabeza de Vaca’ เมื่อปีค.ศ.1542 เขาตั้งชื่อน้ำตกนี้เป็นครั้งแรกว่า ‘Santa Maria Falls’ แต่พวกเขาเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Iguazú ในอีกไม่กี่ปีต่อมา
ควรจะชมน้ำตกอีกวาซูด้านใด ระหว่างบราซิลหรืออาร์เจนตินา ?
น้ำตกอีกวาซูฝั่งบราซิล สามารถเข้าถึงได้ง่ายโดยรถรับส่งจะพาไปยังเส้นทางที่นำไปสู่จุดชมวิวต่างๆ ที่ด้านขวาสุดของเส้นทางจะเป็นจุดชมวิว Observation Deck ที่ดีที่สุดซึ่งได้เห็นทิวทัศน์มุมกว้างของน้ำตกฝั่งอาร์เจนตินา หรืออาจจะนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมความยิ่งใหญ่ของน้ำตกซึ่งมีให้บริการในฝั่งบลาซิลเท่านั้น
น้ำตกอีกวาซูฝั่งอาร์เจนตินา มีขนาดที่กว้างใหญ่มากครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 3 ใน 4 ของน้ำตก สามารถเดินป่าไปตามเส้นทางธรรมชาติหลายแห่ง และนี่เป็นโอกาสของคุณที่จะได้ใกล้ชิดกับส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดของน้ำตกที่รู้จักกันในนาม ‘คอหอยปีศาจ’ Devil’s throat หรือ “Garganta do Diablo” ในภาษาโปรตุเกที่มีน้ำไหลเข้ามาจากสามด้านที่แตกต่างกันทำให้มีลักษณะเฉพาะเหมือนหน้าผารูปตัว ‘U’
Iguazú แปลว่า “สายน้ำที่ยิ่งใหญ่” ในภาษาทูปิ-กัวรานี (Tupi-Guarani) ซึ่งเป็นภาษาของชนพื้นเมืองในท้องถิ่นที่มีความเชื่อในเทพของพวกเขาที่ชื่อ Mboi ซึ่งเป็นงูยักษ์ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำผู้ซึ่งทำให้เกิดน้ำตกที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้
คำพูดไม่สามารถอธิบายความยิ่งใหญ่ที่น่าตกตะลึงได้ ต้องรอจนกว่าคุณจะได้เห็นขนาดและปริมาณของน้ำตกที่แท้จริงในอเมริกาใต้นี้ และเมื่อได้มาเห็นแล้วคุณจะอาจต้องให้ ‘อีกวาซู’ เป็นน้ำตกที่งดงามที่สุดในโลก!! ก็ได้
Most Beautiful Places in the World #17 – ‘The Great Ocean Road’
ทอดยาวโอบล้อมด้วยหน้าผาสูงตระหง่านริมทะเลทอดยาวไปตามมหาสมุทรแปซิฟิกอันมีทิวทัศน์ที่โดดเด่นของชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย นับว่าเป็นถนนเลียบชายฝั่งที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เส้นทาง Great Ocean Road มีความยาว 243 กม.เริ่มต้นที่เมืองทอร์คีย์ (Torquay) ซึ่งอยู่ห่างจากเมลเบิร์น 105 กม. และวิ่งต่อไปทางตะวันตกตามแนวชายฝั่งเพื่อไปสิ้นสุดที่เมืองอัลแลนส์ฟอร์ด (Allansford) เป็นเส้นทางที่จะได้เห็นวิวที่ดีที่สุดและสามารถเดินทางไปยังจุดชมวิวต่างๆได้อย่างง่ายดาย
‘Twelve Apostles’ หรือ ‘กองหินอัครสาวกทั้ง 12’ การก่อตัวของหินธรรมชาติซึ่งแกะสลักจากหน้าผาหินปูนที่มีอายุนับล้านปี แนวภูเขาหินปูนที่เรียงรายอยู่ริมมหาสมุทรและเป็นสัญลักษณ์ของถนนเส้นนี้เป็นภาพที่ยากจะลืมเลือน เมื่อหลายล้านปีก่อนกองหินเหล่านี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ชายฝั่ง แต่เนื่องจากจากสภาพอากาศ น้ำทะเล และการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก การกัดเซาะอย่างต่อเนื่องนี้เนื่องมาจากพลังธรรมชาติทำให้เกิดกองหินอันน่าอัศจรรย์นี้ขึ้นมา
Loch Ard Gorge ซึ่งเป็นอ่าวที่เข้าที่งดงามซึ่งมีน้ำทะเลสีฟ้าใสและมีหน้าผาสีเหลืองสองข้างขนาบข้าง อ่าวเล็กๆ แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับซากเรือชื่อ Loch Ard ชนกับแนวหินบนเส้นทางจากอังกฤษไปยังเมลเบิร์น และอับปางจมอยู่ใต้เกลียวคลื่นในปี 1878
สภาสงครามแห่งรัฐเสนอแผนการจ้างทหารผ่านศึกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ราว 3,000 นายสร้างถนนเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับทหารที่เสียชีวิตในมหาสงคราม แผนแนะนำให้เริ่มต้นเส้นทางที่บาร์วอนเฮดส์ (Barwon Heads) ต่อไปทางตะวันตกตามแนวชายฝั่งผ่านแหลมออตเวย์ (Cape Otway) และสิ้นสุดใกล้กับเมืองวอรร์นามบูล (Warrnambool) ในปี 1919 การก่อสร้าง South Coast Road เริ่มขึ้น รวมระเวลาในการสร้างทั้งหมด 13 ปี (1919 -1932)
วันที่ 18 มีนาคม 1922 ได้เปิดถนนส่วนแรกขึ้นจากฝั่งตะวันออกไปยังเมืองลอร์น (Lorne) ในเดือนพฤศจิกายน 1932 ถนนดังกล่าวได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการโดยมีการเฉลิมฉลองในช่วงสุดสัปดาห์ซึ่งจัดขึ้นใกล้กับโรงแรมแกรนด์แปซิฟิกของลอร์น และเปลี่ยนชื่อเป็น Great Ocean Road อย่างเป็นทางการ จากนั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นอนุสรณ์สถานสงครามที่ยาวที่สุดในโลก
Most Beautiful Places in the World #18 – ปามุคคาเล่, ตุรกี (Pamukkale, Turkey)
สวรรค์แห่งประวัติศาสตร์สุขภาพ
‘ปามุคคาเล่’ แปลว่า “ปราสาทฝ้าย” ในภาษาตุรกี เป็นเมืองสปาอาบน้ำแร่ที่สำคัญที่สุดของตุรกี เกิดจากน้ำร้อนที่มีแคลเซียมคาร์บอเนตปริมาณสูงไหลออกมาจากใต้ดินและไหลลงไปตามไหล่เขาที่สูงชันตกตะกอนสีขาวก่อตัวเป็นแอ่งน้ำและรูปทรงที่น่าทึ่งดูคล้ายกับปราการและปราสาท กลายน้ำตกที่เต็มไปด้วยแคลเซียมลดหลั่นลงไปเกือบ 200 เมตร
แคลเซียมสีขาวที่แข็งตัวในหินเรียกว่า ‘ทราเวอร์ทีน’ (Travertine) เป็นรูปแบบหนึ่งของหินปูนมีลักษณะคล้ายกับน้ำตกที่ที่ถูกแช่แข็งซึ่งรวมตัวกันลงไปในอ่างน้ำพุร้อนธรรมชาติ ร่วมกับเมืองโบราณและซากปรักหักพังของเฮียราโพลิส ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปี ค.ศ.1988
ปามุคคาเล่เป็นสปาตั้งแต่ชาวโรมันสร้างเมืองสปา ‘เฮียราโพลิส’ (Hierapolis) ขึ้นรอบๆ น้ำพุอุ่นอันศักดิ์สิทธิ์ สระว่ายน้ำโบราณยังคงอยู่ที่นั่นซึ่งกระจัดกระรายด้วยเสาหินอ่อนจากวิหารโรมันอพอลโล ซากปรักหักพังของเมืองได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างน่าประทับใจเราสามารถอาบน้ำเหมือนจักรพรรดิท่ามกลางเสาที่จมอยู่ใต้น้ำอายุหลายศตวรรษ ปามุคคาเล่ ตั้งอยู่ในจังหวัดเดนิซลีในประเทศตุรกี ใกล้กับเมืองสปาของเฮียราโพลิสซึ่งก่อตั้งโดยกษัตริย์ ยูเมเนส ของอาณาจักรเพอร์กามอน (Pergamom) ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช อย่างไรก็ตามเมืองนี้ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวในปี 60 และสร้างขึ้นใหม่ในเวลาต่อมา ซากปรักหักพังของยุคกรีก – โรมัน ได้แก่ ห้องอาบน้ำโบราณที่หลงเหลืออยู่ วัด ซุ้มประตู สุสาน และโรงละคร
เฮียราโพลิสเคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญหลังจากการยอมรับศาสนาคริสต์โดยจักรพรรดิคอนสแตนตินและการก่อตั้งกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปีคริสตศักราชที่ 330
ทุกวันนี้ปามุคคาเล่คือสถานที่มหัศจรรย์ เป็นหนึ่งในภูมิทัศน์ธรรมชาติที่งดงามที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัยและเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในตุรกีดึงดูดผู้เยี่ยมชมกว่า 50 ล้านคนต่อปี
Most Beautiful Places in the World #19 – อุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปย์เน, ชิลี (Torres del Paine National Park, Chile)
ตั้งตระหง่านอย่างสง่างามอยู่ระหว่างเทือกเขาแอนดีสและมหาสมุทรแปซิฟิก ทวีปอเมริกาใต้
อุทยานแห่งชาติที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของชิลี มีพันธุ์พืชและสัตว์หลากหลายชนิดซึ่งด้วยสภาพแวดล้อมที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ ท่ามกลางน้ำทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ ธารน้ำแข็ง และเขาหินแกรนิตสูงตระหง่านสุดอลังการสมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลก
อุทยานแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1959 ในชื่ออุทยานแห่งชาติ Turismo Lago Grey สองปีต่อมาอุทยานแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นอุทยานแห่งชาติ Torres del Paine มีพื้นที่ประมาณ 227.298 เฮกตาร์ (1,420.6125 ไร่) ในปี 1978 ได้รับการประกาศให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑลของโลกโดย UNESCO
ในภูมิภาคปาตาโกเนีย (Patagonia) นั้นเป็นภูมิภาคที่ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศอาร์เจนตินาและชิลี ซึ่งเต็มไปด้วยธารน้ำแข็งขนาดมหึมา ในส่วนของตอร์เรส เดล ไปย์เนนั้นได้แก่ธารน้ำแข็ง Grey Glacier (270 ตร.กม.) ธารน้ำแข็ง Dickson Glacier (71 ตร.กม.) และ Tyndall Glacier (331 ตร.กม.)
ภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดในอุทยานประกอบด้วยยอดเขาสามยอดอันเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานฯ คือเทือกเขา Paine Massif ซึ่งมีความสูงลดหลั่นกันไป (Torre Norte 2,600 เมตร, Torre Central 2,800 เมตร และ Torre Sur 2,850 เมตร)
ต้นกำเนิดของเทือกเขาในอุทยานฯ สามารถย้อนกลับไปได้อย่างน้อย 12 ล้านปีก่อน ในช่วงเวลานี้ชั้นตะกอนของโลกได้ถูกยกตัวขึ้นและสึกกร่อนลงในเวลาต่อมาจากการกัดเซาะของน้ำแข็ง สิ่งที่เหลืออยู่คือหินแกรนิตที่แข็งและทนทานที่เราเห็นในปัจจุบัน เป็นตัวอย่างที่คลาสสิคของกระบวนการทางธรรมชาตินี้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของสีระหว่างหินตะกอนและหินแกรนิตอย่างชัดเจน
ตอร์เรส เดล ไปย์เนได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยงามไม่เหมือนใคร เป็นสถานที่ของทะเลสาบ แม่น้ำน้ำตก ธารน้ำ แข็งป่าไม้ และสัตว์ป่าที่น่าทึ่ง การชมนกแร้งคอนดอร์ หรือนกอินทรีดำที่กำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้าอันบริสุทธิ์เหนือศีรษะ ฝูงสุนัขจิ้งจอกกำลังหาเหยื่อ ‘กวางฮูมัล’ และ ‘กวางแอนเดียน’ ที่ใกล้สูญพันธุ์กำลังเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลิน อูฐกัวนาคอส กำลังเดินทอดน่องอย่างสบายใจ และหากรออย่างอดทนอาจโชคดีพอที่จะได้เห็นเสือพูมาผู้รักสันโดษในอุทยานแห่งชาติอันกว้างใหญ่แห่งนี้
Most Beautiful Places in the World #20 – ‘พระราชวังต้องห้าม’ (Forbidden City, Beijing, China)
เป็นพระราชวังที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดของจีนและมีโครงสร้างหรูหราอลังการและเก่าแก่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง เป็นพระราชวังที่ประทับของจักรพรรดิจีนเป็นเวลาห้าศตวรรษ เคยเป็นพระราชวังของจีนในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง (1368 – 1911) และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1987
สร้างขึ้นระหว่างปี 1406 – 1420 ในรัชสมัยของจักรพรรดิจักรพรรดิเฉิงจู่แห่งราชวงศ์หมิง (จักรพรรดิหย่งเล่อ)(1368-1644) พระราชวังต้องห้ามเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ 24 พระองค์ อาคารและห้องพักหลายพันห้องได้รับการจัดวางอย่างพิถีพิถันซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของจีนแบบดั้งเดิมที่มีต่อโลก ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางพิธีการและการเมืองของประเทศจีนโบราณตลอด 500 ปี เป็นที่รู้จักในภาษาจีนว่า Zijincheng ‘เมืองต้องห้ามสีม่วง’
Hall of Supreme Harmony เป็นใจกลางของพระราชวังต้องห้ามอันยิ่งใหญ่ เป็นอาคารที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในประเทศ และยังรู้จักกันในชื่อ “Hall of Gold Throne” ห้องโถงใหญ่นี้เป็นโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกครอบคลุมพื้นที่ 2,377 ตารางเมตร ซึ่งเป็นที่ใช้สำหรับพิธียิ่งใหญ่เช่นพิธีขึ้นครองราชย์ บัลลังก์ของจักรพรรดิวางอยู่บนแท่นหยกสีขาวสูง 2 เมตรตรงกลางซึ่งประดับด้วยทองคำและสลักลวดลายของเมฆและมังกรเก้าตัว ห้องโถงอื่นๆ กระจายออกไปด้านนอกตามแกนเหนือ – ใต้ จักรพรรดิเองและข้าราชบริพาลที่เป็นชายทุกคนอาศัยอยู่ในอาคารทางฝั่งตะวันออก ขณะที่ผู้หญิงอาศัยอยู่ทางด้านตะวันตกของอาคาร
พระราชวังต้องห้ามรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีขนาดมหึมาครอบคลุมพื้นที่ 72 เฮกตาร์ (450 ไร่) และมีห้องพักมากกว่า 9,000 ห้อง แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ชั้นนอกสำหรับกิจการของชาติทางตอนใต้ และชั้นในเป็นที่พักอาศัยทางตอนเหนือ ไม่เพียงแต่เป็นผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นคลังเก็บงานศิลปะที่มีเอกลักษณ์กว่า 1.8 ล้านชิ้น รวมถึงการประดิษฐ์ตัวอักษร และภาพวาดโบราณ สิ่งประดิษฐ์ของจักรพรรดิ หนังสือโบราณ และหอจดหมายเหตุ
หลังจากจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนออกจากพระราชวังแล้ว ต่อมาได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมในปี 1925 ตั้งแต่นั้นมาพระราชวังต้องห้ามก็ไม่เป็น “ต้องห้าม” อีกต่อไป
Most Beautiful Places in the World #21 – ‘ชายฝั่งอามัลฟี’ (Amalfi Coast, Italy)
เหมือนลอยอยู่อย่างน่าอัศจรรย์ระหว่างท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีรุ้ง ชายฝั่งอามัลฟีดูเหมือนจานสีของจิตรกรที่ต้องการใช้การไล่ระดับสีเพื่อสร้างภูมิทัศน์ที่ดึงดูดผู้มาเยือน
มีการเปรียบอมาลฟี่เป็นดินแดนที่กลิ่นหอมของดอกเลมอนที่กลมกลืนกับพันธุ์ไม้เมดิเตอร์เรเนียนที่มีกลิ่นหอมที่สุดแห่งหนึ่งและกลิ่นของน้ำทะล ที่ซึ่งสีสันอันสดใสของโดมมาโคลิกา เฟื่องฟ้า และคาร์เนชั่น ให้สัมผัสที่มีสีสันให้กับบ้านสีขาวที่ตั้งอยู่ริมผาตัดกับภูเขา Lattari Mounts ที่ทอดตัวลงสู่ท้องทะเล
ภูมิประเทศในแนวหน้าผานี้มีลักษณะเป็นทางเดินเขาวงกตและตรอกซอกซอยแคบๆ ที่งดงามซึ่งเชื่อมต่อองค์ประกอบหลักสองส่วนของภูมิทัศน์นี้ ได้แก่ ภูเขาและทะเล พื้นที่แหลมและเวิ้งอ่าวที่ต่อเนื่องกันไปสลับกับชายหาดหินกรวดและโขดหินซึ่งสามารถมองเห็นหอคอยหินโบราณซึ่งเป็นป้อมปราการแห่งแรกชายฝั่งอามัลฟีที่ต่อต้านการโจมตีของกองทัพ ‘ซาราเซ็น’ (Saracens – ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมอาหรับ และเติร์ก หรือชาติอื่นๆ ที่เป็นมุสลิมตามที่นักเขียนคริสเตียนในยุโรปอ้างถึงในช่วงยุคกลาง)
เมืองทั้งหมดของชายฝั่งอามัลฟี เชื่อมต่อกันด้วยถนนที่สวยงามถึงถนน 163 แห่งที่สร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 ในสมัยบูร์บง และถือเป็นถนนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี มีเมือง 13 เมืองที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ เช่น
อามัลฟี (Amalfi) เมืองที่สร้างชื่อให้กับชายฝั่ง ตั้งอยู่ที่เชิงเขา Monte Cerreto ล้อมรอบด้วยหน้าผาและทิวทัศน์ชายฝั่งที่สวยงามของทะเลไทเรเนียนที่สวยงามระยิบระยับ
แอตรานี (Atrani) เป็นหมู่บ้านชาวประมงชายฝั่งที่มีประชากรน้อยกว่าหนึ่งพันคน มันตั้งอยู่ในรอยแยกของหน้าผาสูงชันสองแห่งบนชายฝั่งของทะเลไทเรเนียน เป็นสถานที่ที่งดงามและงดงามที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี
ซีทารา Cetara เป็นหมู่บ้านชาวประมงบรรยากาศสบายๆ ริมชายฝั่งอามัลฟีท่ามกลางสวนส้มเขียวชอุ่ม ชื่อของ Cetara มาจากภาษาละติน Cetaria (หมายถึงอวนจับปลาทูน่า) ซึ่งบ่งบอกถึงความสำคัญของการตั้งถิ่นฐานของชาวประมงในยุคต่างๆ อยู่ภายใต้การปกครองทางการเมืองของสาธารณรัฐ Amalfi มานานหลายศตวรรษ
Positano เป็นหนึ่งในสถานที่ที่รู้จักกันดีที่สุดของชายฝั่งอามัลฟี มีที่สวยงามในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ด้วยทิวทัศน์ที่สมบูรณ์แบบของบ้านในโทนสีพาสเทลที่ทอดตัวลงมาตามไหล่เขาเพื่อพบกับน้ำทะเลสีฟ้าเป็นประกายชวนให้นึกถึง ชิงเคว เทเร (Cinque Terre)
Most Beautiful Places in the World #22 – ซอสซัสฟลาย, นามิเบีย (Sossusvlei, Namibia)
ภูมิภาคซอสซัสฟลายตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนามิเบีย และเป็นที่ตั้งของ “อุทยานแห่งชาตินามิบ-น็อคลัฟท์” (Namib Naukluft Park)
ซอสซัสฟลายซึ่งเป็นส่วนที่สวยงามตระการตาที่สุดของทะเลทรายนามิบอันเก่าแก่ อยู่ทางทิศตะวันตกและแนวลาดชันอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นกำแพงธรรมชาติกั้นระหว่างทะเลทรายนามิบและที่ราบสูงตอนกลางทางฝั่งตะวันออก มีชื่อเสียงในเรื่องเนินทรายสีแดงสูงตระหง่านซึ่งสูงที่สุดโดยประมาณเกือบ 325 เมตร พื้นที่กว่า 202,200 เฮกตาร์ และทิวทัศน์ภายในเขตสงวนครอบคลุมแทบทุกความแตกต่างของทะเลทรายนามิบ ตั้งแต่เทือกเขาสูงขึ้นไปจนถึงที่ราบทะเลทรายกว้างใหญ่ และทุ่งหญ้าสะวันนา
‘vleis’ หมายถึง ‘หุบเขา หรือ แอ่งกระทะ’ ในภาษาแอฟริกา DeadVlei หรือ ‘หุบเขาแห่งความตาย’ คือบริเวณที่ต้นอะคาเซียสีเข้มที่ยืนต้นตายตัดกับพื้นแอ่งกระทะสีขาว ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแม่น้ำ Tsauchab ท่วมและความอุดมสมบูรณ์ของน้ำทำให้ต้นหนามอูฐเติบโต อย่างไรก็ตามสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป เนินทรายได้รุกล้ำเข้ามาในแอ่งกระทะมากขึ้นทำให้แม่น้ำไม่สามารถเข้ามาหล่อเลี้ยงต้นไม้เหล่านี้ได้ ต้นไม้บางต้นมีอายุประมาณ 900 ปี แต่ยังไม่ย่อยสลายเนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง
กระทะดินแห้งแล้งที่กระจัดกระจายไปด้วย แม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยที่สุดนี้คุณจะเห็นสัตว์ป่าบางชนิดในพื้นที่โดยมีนกกระจอกเทศ และออริกซ์ (Oryx) ปรากฏตัวในตอนกลางวันในขณะที่ อาร์ดวาร์ก (Aardvark) จะปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราวในเวลากลางคืน
Deadvlei เป็นสวรรค์ของช่างภาพเนื่องจากความแตกต่างระหว่างต้นไม้สีดำสนิท พื้นของแอ่งกระทะสีขาวขุ่น เนินทรายสีแดงสนิม และท้องฟ้าสีครามทำให้ได้ภาพที่น่าทึ่ง
เนินทรายของซอสซัสฟลายนั้นค่อนข้างพิเศษโดยเฉพาะเมื่อมองในแสงแรกของวัน เมือดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือ หุบเขาแห่งความตาย เนินทรายเปลี่ยนรูปแบบจากกองทรายมาเป็นริบบิ้นสีแดงพริ้วไหวเด่นผ่านกาลเวลาเวลาของนามิเบียเป็นเวลาหลายศตวรรษ
Most Beautiful Places in the World #23 – กีซา, อียิปต์ (Giza, Egypt)
กิซาเป็นที่ราบสูงทางตะวันตกเฉียงใต้ของไคโรสมัยใหม่ซึ่งทำหน้าที่เป็นสุสานสำหรับราชวงศ์ของอาณาจักรอียิปต์เก่า ปิรามิดแห่งกีซาสร้างขึ้นเพื่อคงอยู่ชั่วนิรันดร์ สุสานที่ยิ่งใหญ่เป็นวัตถุโบราณของอียิปต์ในยุคอาณาจักรเก่าและถูกสร้างขึ้นเมื่อ 4,500 ปีก่อน
ชาวไอยคุปต์เชื่อว่าฟาโรห์จะกลายเป็นเทพเจ้าในชีวิตหลังความตาย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับโลกหน้าพวกเขาได้สร้างวิหารถวายเทพเจ้าและสุสานพีระมิดขนาดใหญ่สำหรับตัวเองซึ่งเต็มไปด้วยทุกสิ่งที่ผู้ปกครองแต่ละคนจำเป็นต้องดำรงตนในโลกหน้า
มหาพีระมิดคูฟู (The Great Pyramid of Khufu) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘พีระมิดแห่งคีออปส์’ (The Great Pyramid of Cheops) ซึ่งเป็นชื่อภาษากรีกของฟาโรคูฟู เป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ โดยเริ่มสร้างปิรามิดแห่งกิซาแห่งแรกในราว เมื่อ 2550 ก่อนคริสต์ศักราช มหาพีระมิดของพระองค์ใหญ่ที่สุดในกิซ่าและมีหอคอยสูงกว่าที่ราบสูงประมาณ 147 เมตร ใช้ก้อนหินประมาณ 2.3 ล้านก้อนแต่ละก้อนมีน้ำหนักเฉลี่ย 2.5 ถึง 15 ตัน
ฟาโรห์คาเฟร (Khafre) บุตรชายของคูฟู ได้สร้างพีระมิดแห่งที่สองที่กีซาประมาณ 2520 ก่อนคริสต์ศักราช มีความสูง 144 เมตร สุสานของเขายังรวมถึง ‘สฟิงซ์’ (Sphinx) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเหนือจากพีระมิดทั้งสาม หัวของสฟิงซ์ชาวไอยคุปต์เชื่อว่าเป็นของฟาโรคาเฟร แม้ว่าคนอื่นๆ จะโต้แย้งว่าเป็นตัวแทนของฟาโรคูฟู
ปิรามิดแห่งกีซาแห่งที่สาม จะมีขนาดเล็กกว่าปิรามิดแห่งแรกมาก สร้างโดยฟาโรห์เมนคูเร (Menkaure) เมื่อประมาณ 2490 ก่อนคริสต์ศักราช มีความสูง 65 เมตร ซึ่งมีการสร้างวิหารสำหรับเก็บพระศพที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าที่ราบสูงกีซาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปิรามิดทั้งสามมากที่สุด แต่สถานที่แห่งนี้ถูกใช้ในช่วงต้นราชวงศ์แรกของอียิปต์ ตามหลักฐานจากหลุมฝังศพของฟาโรห์ดเจท (Djet) ซึ่งพบทางขอบของที่ราบสูง นอกจากนี้ยังพบหลักฐานของกษัตริย์อย่างน้อยหนึ่งองค์จากราชวงศ์ที่สอง ‘ไนเน็ตเจอร์’ (Nynetjer) ที่ฝังอยู่ที่กีซา นอกจากนี้คำจารึกยังระบุว่า ‘ฟาโรคูฟูต้องล้างสุสานและหลุมฝังศพก่อนหน้านี้หลายแห่งเพื่อสร้างมหาพีระมิด’ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับศพหรือสิ่งของที่ฝังศพจากสุสานเหล่านั้น?
Most Beautiful Places in the World #24 – แอนตาร์กติกา (Antarctica)
ตั้งอยู่ในซีกโลกใต้ เป็นทวีปที่สูงที่สุด หนาวที่สุด แห้งแล้งที่สุด และมีน้ำแข็งมากที่สุดของโลก และเป็นทวีปเดียวที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่อย่างถาวร
แอนตาร์กติกาเป็นทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ในแง่ของพื้นที่ทั้งหมด (มีขนาดใหญ่กว่าทั้งโอเชียเนียและยุโรป) ที่มีลักษณะเฉพาะเนื่องจากไม่มีประชากรอาศัยอยู่ เป็นดินแดนภายใต้การปกครองร่วมโดยพฤตินัยตามกฎหมายระหว่างประเทศและอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบสนธิสัญญาแอนตาร์กติก แม้ว่าจะมี 7 ชาติจะอ้างสิทธิ์ในส่วนที่แตกต่างกัน ได้แก่ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร ชิลี และอาร์เจนตินา
แอนตาร์กติกยังรวมถึงพื้นที่เกาะภายในแอนตาร์กติกคอนเวอร์เจนซ์ ได้แก่ หมู่เกาะออร์คนีย์ใต้, หมู่เกาะเชตแลนด์ใต้, จอร์เจียใต้ และหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช ซึ่งทั้งหมดอ้างสิทธิ์โดยสหราชอาณาจักร เกาะปีเตอร์ที่ 1 (Peter I Island) และเกาะบูเว (Bouvet Island – เกาะบูเว เป็นเกาะที่ไกลที่สุดในโลก) ซึ่งอ้างสิทธิ์โดยนอร์เวย์ เกาะเฮิร์ด และหมู่เกาะแมคโดนัลด์ อ้างสิทธิ์โดยออสเตรเลีย, เกาะสก็อตต์และหมู่เกาะบัลเลนี ซึ่งอ้างสิทธิ์โดยนิวซีแลนด์
แอนตาร์กติกามีขนาดประมาณ 5.5 ล้านตารางไมล์ (14.2 ล้านตารางกิโลเมตร) และน้ำแข็งหนาปกคลุมประมาณ 98 เปอร์เซ็นต์ของแผ่นดิน ทวีปนี้แบ่งออกเป็นแอนตาร์กติกาตะวันออก (ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยที่ราบสูงที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งสูง) และแอนตาร์กติกาตะวันตก (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมหมู่เกาะ และภูเขา)
แอนตาร์กติกามียอดภูเขาหลายแห่งรวมถึงเทือกเขา ‘ทรานแซนตาร์คติค’ (Transantarctic Mountains) ซึ่งแบ่งทวีปออกเป็นภูมิภาคตะวันออกและตะวันตก ยอดเขาบางยอดมีความสูงมากกว่า 4,500 เมตร ความสูงของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกนั้นอยู่ที่ประมาณ 2,000 เมตร และสูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,000 เมตร ใกล้ศูนย์กลางของทวีป
หากปราศจากน้ำแข็งแอนตาร์กติกาจะกลายเป็นคาบสมุทรขนาดยักษ์และหมู่เกาะภูเขาที่เรียกว่า ‘แอนตาร์กติกาตะวันตก หรือ แอนตาร์กติกาน้อย’ (Lesser Antarctica) และมีผืนดินขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวที่มีขนาดเท่ากับประเทศออสเตรเลีย หรือ ที่เรียกว่า ‘แอนตาร์กติกาตะวันออก’ (Greater Antarctica)
แม้ว่า 98 เปอร์เซ็นต์ของแอนตาร์กติกาจะปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง แต่ภูมิทัศน์ก็ยังคงมีความหลากหลายอย่างน่าทึ่ง เช่น ธารน้ำแข็งสีฟ้าเหนือจริงภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น ช่องแคบเดรก (Drake Passage) และทิวทัศน์ 360 องศาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และมุมมองเหล่านั้นจะดียิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นขบวนพาเหรดของเจ้านกเพนกวินจักรพรรดิ หรือแมวน้ำ และวาฬหลังค่อมว่ายน้ำเล่นในทะเลที่ปกคลุมไปด้วยเกาะน้ำแข็งมากมายสุดสายตา
Most Beautiful Places in the World #25 – ‘แอนเทอโลป แคนยอน’ แอริโซนา (Antelope Canyon, Arizona)
สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ดีที่สุดของพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา ในเขตสงวนของอินแดนแดงเผ่านาวาโฮ ทางเหนือของรัฐแอริโซนา
โดยเฉพาะ ‘หุบเขาสล็อต’ (Slot Canyon) ที่เป็นร่องน้ำยาวแคบลึกถูกกัดเซาะจนคดเคี้ยวเป็นประติมากรรมหินทรายขนาดมหึมา เหมือนดั่งแกะสลักบนหืนทรายสีแดง ทั้งจากฝนและลมตามฤดูกาล ในหุบเขาเป็นทางเดินแคบๆ กว้างเพียง 8 ถึง 12 ฟุต ที่ทอดยาวออกไปหลายร้อยฟุต มุมที่ลาดเอียงอันงดงามของโขดหิน โครงสร้างคล้ายคลื่นและลำแสงที่ส่องลงไปในช่องของหุบเขาโดยตรงทำให้เกิดลักษณะงดงามเหนือธรรมชาติรวมกันเป็นฉากที่ไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมดด้วยคำพูด
แอนเทอโลปแคนยอนเป็นผลผลิตจากการกัดเซาะของน้ำหลายล้านปี อินเดียนแดงเผ่านาวาโฮเรียก ตอนบนของแอนเทอโลปแคนยอน (Upper Antelope Canyon) ว่า “Tse ‘bighanilini” ซึ่งแปลว่า “สถานที่ที่น้ำไหลผ่านโขดหิน” ส่วนทางตอนล่าง (Lower Antelope Canyon) เรียกว่า Hazdistazí ซึ่งแปลว่า “Spiral Rock Arches” หรือ ‘ซุ้มหินเกลียว’ ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่อยู่ของฝูงละมั่ง (Pronghorn Antelope) จำนวนมาก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของทุ่งหญ้าและมีชื่อเสียงในด้านการเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกที่วิ่งเร็วที่สุดในอเมริกาเหนือ
ได้ดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติเพื่อมาชมความงามที่น่าทึ่งและลึกลับแห่งนี้ ด้วยกำแพงหุบเขาวนสูงขึ้นไป 120 ฟุตทำให้คล้ายเป็นมหาวิหารหินทรายสีแดงทรงเกลียวดูแปลกเหนือจินตนาการจนกลายเป็น ‘หุบเขาแห่งความฝันของช่างภาพทุกคน’
Most Beautiful Places in the World #26 – ทะเลทราย ‘อาตากามา’ (Atacama Desert, Chile)
มีพื้นที่กว่า 40,000 ตารางไมล์ มีความยาวประมาณ 600 ไมล์จากเหนือจรดใต้ข้ามพรมแดนของชิลีไปยังเปรู โบลิเวีย และอาร์เจนตินา ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาแอนดีสและชายฝั่งชิลี ทอดยาวจากเปรูตอนใต้ไปจนถึงชิลีตอนเหนือ เป็นสถานที่ที่แห้งแล้งที่สุดในโลก และเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
สิ่งที่ทำให้ทะเลทรายอาตากามาได้รับการขนานนามว่าเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลกคือ ส่วนใหญ่ตำแหน่งของทะเลทรายอยู่ระหว่างเทือกเขาคอร์ดิลเลร่า เด ลา คอสต้า (Cordillera de la Costa) ทางทิศตะวันตก และเทือกเขาแอนดีสไปทางทิศตะวันออก โดยมีระดับความสูงโดยรอบตั้งแต่ 5,000 ฟุตถึง 16,000 ฟุต ภูเขาและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ป้องกันไม่ให้ฝนตกถึงพื้นที่ของทะเลทรายอาตากามา เนื่องจากมีความสูงมากทะเลทรายอาตากามาจึงเป็นสถานที่ดูดาวที่ดีที่สุดในโลก
ภูมิประเทศที่แห้งแล้งซึ่งทิ้งเกลื่อนไปด้วยหลุมอุกกาบาตและภูเขาไฟและล้อมรอบด้วยเนินทรายขนาดใหญ่ที่มีลมพัดแรงนี้เป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลก โดยมีฝนตกเฉลี่ยหกวันต่อปี น้ำพุร้อนที่เปล่งประกาย แนวทะเลเกลือขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วพื้นที่ สาบอัลติเพลนิกสีมรกต (Altiplanic Lagoons) และหุบเขาหินอำพันอันงดงามเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้ตลอดทั้งปี
ฤดูร้อนของชิลีเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ อุณหภูมิประมาณ 6°C – 18°C โดยมีอากาศที่อบอุ่นและมีแสงแดดจัดในแต่ละวัน ในช่วงเวลานี้ ฝูงยามา หรือ ลามะ เล็มหญ้าอย่างมีความสุข และฝูงนกฟลามิงโกแอนเดียนหายากซึ่งกระจายอยู่ตามแนวทะเลเกลือตลอดทั้งปีจะรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ผลที่ตามมาของขนนกสีม่วงแดงกับภูเขาสีส้มเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ ท้องฟ้าปลอดโปร่งเหมาะสำหรับการดูดาวและมักจะมองเห็นทางช้างเผือกได้ มีนาคม – พฤษภาคม จะมีอุณหภูมิลดลงเล็กน้อย (2°C – 16°C) แต่สภาพอากาศก็ยังคงอบอุ่นอยู่เสมอและในคืนฤดูใบไม้ร่วงอากาศจะเย็นสบายในทะเลทราย
มิถุนายน – สิงหาคม วันจะสั้นลงในช่วงฤดูหนาวและในขณะที่อุณหภูมิในตอนกลางวันยังคงดีอยู่ (-2°C – 13°C) แต่กลางคืนมักจะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และอาจมีหิมะตกในเดือนกรกฎาคม แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วทะเลทรายจะแห้งแล้งมาก แต่ก็มีโอกาสที่ฝนจะตกเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวผลที่ตามมาคือการออกดอกชูช่อของดอกไม้ป่าเฉพาะถิ่นที่เบ่งบานทั่วที่ราบแห้งแล้งนี้กันยายน – พฤศจิกายน เนื่องจากมีผู้คนจำนวนน้อยกว่าช่วงไฮซีซั่นและอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น (2°C – 17°C) จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเยี่ยมชมทะเลทรายอาตากามา ทำกิจกรรม เช่น ขี่ม้า หรือเดินป่าข้ามภูมิประเทศผ่านหุบเขาที่คล้ายกับดวงจันทร์แห่งนี้
Most Beautiful Places in the World #27 – หมู่เกาะ ‘อะซอเรส’ (The Azores, Portugal)
หมู่เกาะที่งดงามของโปรตุเกสตั้งอยู่ตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ แบ่งออกเป็น ฝั่งตะวันออก (หมู่เกาะเซามิเกล และซานตามาเรีย), ตอนกลางกลาง (เกาะเตร์ซีรา, กราซิโอซา, เซาจอร์จ, เกาะปิโก และฟาเอล) และทางฝั่งตะวันตก (หมู่เกาะฟลอเรส และเกาะคอร์โว)
แม้แต่ผู้มาเยี่ยมอะโซเรชก็ยังสัมผัสได้ถึงทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์และสีเขียวมรกต ทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ปล่องภูเขาไฟและหลุมอุกกาบาต ดอกไฮเดรนเยียและอาซาเลียหลากสี โบสถ์สมัยศตวรรษที่ 15-18 และคฤหาสน์อันโอ่อ่าหรูหรา มีอุณหภูมิที่ไม่รุนแรงตลอดทั้งปี (ระหว่าง 14 ° C – 22 ° C)
เกาะซานตามาเรีย (Santa Maria Island) เป็นเกาะแรกที่นักสำรวจชาวโปรตุเกสค้นพบ และเป็นเกาะแรกที่มีผู้คนอาศัยอยู่โดยชาวโปรตุเกสเข้ามาตั้งถิ่นฐานในปี 1439 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากแอลการ์ฟตามคำสั่งของเจ้าชายเฮนรีนักเดินเรือ (Prince Henry the Navigator)
เกาะเซามิเกล (Sao Miguel Island) เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะอะซอเรสทั้งหมด ทางทิศตะวันออกของเกาะออกคือหมู่บ้าน ‘Furnas’ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แคลดีรา หรือ ปล่องภูเขาไฟที่เก่าแก่ที่สุดของเกาะ ทางทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งของปล่องภูเขาไฟ ‘Sete Cidades’ ที่ใหญ่ที่สุดของเกาะเซามิเกล เกาะเทอร์ไซรา (Terceira Island) เกาะนี้มีเมืองเก่าที่สุดของกลุ่มเกาะอะซอเรส คือ เมืองอังกราดูเอรูวิชมู หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘อังกรา’ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 1986
เกาะกราซิโอซา (Graciosa Island) เป็นที่รู้จักในนาม “เกาะสีขาว” เมืองหลวงคือ ‘Santa Cruz da Graciosa’ เป็นหมู่บ้านประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
เกาะฟาเอล (Faial Island) เป็นหนึ่งในเกาะกลางที่ชื่นชอบในอะซอเรส มี Horta ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาะซึ่งเป็นท่าจอดเรือยอทช์ที่มีชื่อเสียง
เกาะปิโก (Pico Island) เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอะซอเรส ‘Pico’ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในอะซอเรสและโปรตุเกส โดยมีกรวยภูเขาไฟที่สูงถึง 2,350 เมตร
นอกจากนี้ยังมี หมู่บ้าน และโบสถ์เก่าแก่ที่น่าไปเยือนที่ เกาะเซาจอร์จ (Sao Jorge Island), เกาะฟลอเรส (Flores Island) และเกาะคอร์โว (Corvo Island) ซึ่งเกาะที่เล็กที่สุดของอะซอเรสอีกด้วย
Most Beautiful Places in the World #28 – ‘หน้าผาแห่งโมเฮอร์’ (Cliffs of Moher, Ireland)
ตั้งอยู่ที่เมืองแคลร์ บนเส้นทางมหาสมุทรแอตแลนติก (Wild Atlantic Way) บนชายฝั่งตะวันตกของไอร์แลนด์ สามารถมองเห็นหมู่เกาะอารันและอ่าวแกลเวย์ได้อย่างชัดเจน
ทิวทัศน์ที่น่าทึ่งที่สุดแห่งนี้มาพร้อมกับตำนานของชาวไอริชสุดจินตนาการมากมาย เช่น ตำนานนางเงือกแห่งโมเฮอร์ เรื่องราวของชาวประมงที่ตกหลุมรักนางเงือก, ‘Kilstiffen’ เมืองที่สาบสูญ ที่ได้รับการกล่าวขานว่ายังคงจมอยู่ใต้น้ำจนกว่าจะได้กุญแจสีทองเพื่อเปิดประตูปราสาท…
เชื่อกันว่าหน้าผาแห่งโมเฮอร์มีอายุมากกว่า 320 ล้านปี เมื่อแม่น้ำสายเก่าแก่ของไอร์แลนด์ไหลลงจากบนภูเขาและพัดพาโคลนและทรายจำนวนมหาศาลลงสู่ทะเล และก็เริ่มสะสมตะกอนที่ก้นทะเลกลายเป็นหินชั้นตะกอนหินทรายและโคลนที่บดอัด หินทรายและหินดินดานจากแอ่งตะกอนใต้ทะเลโบราณเหล่านี้ก่อตัวเป็นหินแข็งอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
หน้าผามีความสูงประมาณ 120 เมตร (390 ฟุต) เหนือมหาสมุทรแอตแลนติกที่บริเวณหิน Hag’s Head ทางตอนใต้สุด ถึงความสูงสูงสุด 214 เมตร (702 ฟุต) ทางเหนือของหอคอยโอไบรอัน (O’Brien’s Tower) หอสังเกตการณ์สไตล์โกธิคที่สร้างขึ้นในปี 1835
หน้าผาแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในด้านทัศนียภาพอันงดงามของมหาสมุทรแอตแลนติก การก่อตัวทางธรณีวิทยาที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่อยู่ของนกมากกว่า 30,000 คู่ที่อาศัยอยู่บนหน้าผา เช่น นกคิตติเวก เหยี่ยวเพเรกริน และนกพัฟฟินแอตแลนติก
ในปี 1987 มาดามมารี แอนน์ เดอ โบเวต นักเขียนชาวฝรั่งเศส เขียนบรรยายไว้ว่า : “หน้าผาแห่งโมเฮอร์มีความงดงามอย่างมหัศจรรย์เหนือกว่าจุดอื่นๆ ทั้งหมดของเมืองแคลร์ ลองนึกภาพการเข้าถึงกำแพงหินสีดำยาวหลายไมล์ที่สูงถึง 600 ฟุตเหนือมหาสมุทร มุมที่ก่อตัวขึ้นเหมือนป้อมปราการที่ทอดข้ามถ้ำที่น่ากลัวทางด้านล่าง ซึ่งอาจเห็นปีกสีขาวของนกทะเลจำนวนนับไม่ถ้วน”
หน้าผาแห่งโมเฮอร์ได้รับสถานะเป็นอุทยานธรณีโลก (Global Geo Park) โดยองค์การ UNESCO ในปี 2011
Most Beautiful Places in the World #29 – ‘อุทยานแห่งชาติเดนาลี’ (Denali National Park, Alaska)
ยอดแหลมของภูเขาหินแกรนิตที่เต็มไปด้วยหิมะสูงตระหง่านของอุทยานแห่งชาติเดนาลี ครอบคลุมพื้นที่รกร้างและแนวเทือกเขาอลาสก้าถึง 9,492 ตารางไมล์
ชาวอะทาบาสก์ (Athabascans) อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้หลายชั่วอายุคน แต่การตั้งถิ่นฐานถาวรที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองแห่งแรกก่อตั้งขึ้นในปี 1905 เดนาลีได้รับการกำหนดให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑลระหว่างประเทศในปี 1976 และเปลี่ยนชื่อเป็นอุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์เดนาลีในปี 2015
ยอดเขาเดนาลี (Mount Denali) ซึ่งเป็นชื่อที่เป็นชื่อที่ชาวอะทาบาสก์ใช้เรียกซึ่งมีความหมายว่า “The Tall One” ถือเป็นจุดสูงสุดในสหรัฐอเมริกาและในทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นหนึ่งในเจ็ดยอดเขาของโลกที่เป็นเป้าหมายในฝันสำหรับนักปีนเขาหลายคน มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 20,310 ฟุต (6,190 เมตร) ต่อมาประธานาธิบดีบารัค โอบามาเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘ภูเขาแมคคินลีย์’ (Mt. McKinley) เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีคนที่ 25 วิลเลียม แมกคินลีย์ (William McKinley)
ภูมิประเทศที่หลากหลายของอุทยานประกอบด้วย ภูเขาที่สวยงาม แม่น้ำ และทะเลสาบ ทุ่งหญ้าอัลไพน์ ทิวทัศน์อันกว้างไกล และหุบเขาธารน้ำแข็งหลายแห่งที่เคลื่อนตัวออกไปทางทิศใต้ และยังครอบคลุมป่าแถบเหนือและป่าทุนดราอาร์กติก ซึ่งเป็นลักษณะภูมิประเทศที่มีเฉพาะแถบรอบๆ ขั้วโลกเหนือ และบางส่วนของขั้วโลกใต้
ไม่ใช่แค่ภูเขาเท่านั้นที่ทำให้อุทยานแห่งชาติเดนาลีเป็นสถานที่พิเศษ พื้นที่แห่งนี้ยังเป็นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 37 ชนิด ตั้งแต่ตัว ลิงซ์ กระรอกดินอาร์กติก ไปจนถึงสุนัขจิ้งจอก และกระต่ายสโนว์ชู รวมถึง วูฟเวอรีน ในขณะที่มีการพบเห็นนกกว่า 130 ชนิดรวมทั้งนกอินทรีสีทองที่หายาก และไม้ดอก ไลเคน และมอสมากกว่า 650 ชนิด อย่างไรก็ตามผู้เข้าชมส่วนใหญ่ต้องการชมสัตว์ “บิ๊กไฟว์” ของอลาสก้าโดยเฉพาะ เช่น กวางมูส กวางคาริบู หมาป่า แกะดัลล์ และหมีสีน้ำตาล หรือ หมีกริซลี่
*** ภูเขาที่สูงที่สุดในแต่ละทวีปของโลกทั้งเจ็ด ได้แก่: เอเวอร์เรสต์ (8,850 ม.), อาคอนคากัว (6,962 ม.), เดนาลี (6,190 ม.), คิลิมันจาโร (5,895 ม.), เอลบรุส (5,642 ม.), ภูเขาวินสัน (4,892 ม.) และ คาร์สเตนซ์พีระมิด หรือ ‘ยอดเขาปุนจะก์จายา’ (4,884 ม.)
Most Beautiful Places in the World #30 – ‘แกรนด์แคนยอน’ (Grand Canyon, Arizona)
เป็นช่องเขาที่ลึกเป็นไมล์ทางตอนเหนือของรัฐแอริโซนา ได้รับสถานะเป็นอุทยานแห่งชาติในปี 1919 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 1979
นักวิทยาศาสตร์คาดว่าแคนยอนอาจก่อตัวขึ้นเมื่อ 5 ถึง 6 ล้านปีก่อนเมื่อแม่น้ำโคโลราโดไหลผ่านตัดร่องชั้นหิน ชั้นต่างๆ บนกำแพงหุบเขาเป็นเวลาหลายล้านปี แต่การศึกษาในปี 2012 มีสิ่งที่น่าตกใจอย่างแท้จริงซึ่งชี้ให้เห็นว่ากระบวนการนี้อาจเริ่มย้อนหลังไปถึง 70 ล้านปีก่อน ตะกอนที่ถูกทับถมเป็นชั้นๆใต้ท้องทะเล การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำในมหาสมุทร หรือการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกที่ยกตัวสูงขึ้นทำให้เกิดที่ราบสูงอันกว้างใหญ่ ก่อนที่จะถูกการกัดเซาะของน้ำและลมต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายล้านปีจนเกิดเป็นภูมิประเทศที่มหัศจรรย์เหมือนในปัจจุบัน
นักโบราณคดีได้หลักฐานว่ามีมนุษย์อาศัยต้องย้อนหลังไปเกือบ 12,000 ปี มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานอยู่ในและรอบๆ หุบเขาเป็นครั้งแรกในช่วงสุดท้ายของยุคน้ำแข็ง เป็นช่วงที่แมมมอธ สลอธยักษ์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อื่นๆ ยังคงท่องไปในทวีปอเมริกาเหนือ
ชาวอเมริกันพื้นเมืองอาศัยอยู่ที่นี่หรือใกล้กับแกรนด์แคนยอนเป็นเวลาอย่างน้อยในช่วง 4,000 ปีที่ผ่านมาโดยกลุ่มแรกคือชาวอนาซาซีชาว ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวอเมริกันพื้นเมืองที่อยู่ในสี่พื้นที่ของประเทศสหรัฐอเมริกา คือนิวเม็กซิโก แอริโซนา โคโลลาโด และยูทาห์ คนยุโรปกลุ่มแรกที่ไปถึงแกรนด์แคนยอนคือนักสำรวจชาวสเปนในช่วงทศวรรษที่ 1540
ความลึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแกรนด์แคนยอนอยู่ใต้ขอบของมันมากกว่าหนึ่งไมล์ (ประมาณ 6,000 ฟุต) ส่วนที่ลึกที่สุดและสวยงามตระการตาที่สุดมีความยาว 56 ไมล์ (90 กม.) อยู่ในตอนกลางของอุทยานฯ ซึ่งครอบคลุมความยาวของแม่น้ำโคโรราโดจาก ‘ทะเลสาบเพาเวลล์’ (Lake Powell) ที่เกิดจากการสร้างเขื่อนเกลนแคนยอนในปี 1963 ถึง ‘ทะเลสาบมี้ด’ (Lake Mead) ที่เกิดจากการสร้างเขื่อนฮูเวอร์ในปี 1936
แกรนด์แคนยอยด้านฝั่งทิศใต้ (South Rim) เป็นส่วนที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดของอุทยานแห่งชาติโดยมีสถานที่มากมายที่นักท่องเที่ยวสามารถไปชมทิวทัศน์ได้ มีความสูงประมาณ 6,500 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ส่วนฝั่งแกรนด์แคนยอนฝั่งทิศเหนือ (North Rim) ซึ่งสูงกว่าฝั่งใต้ 1,200 ฟุตไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เพราะไปได้ยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสภาพอากาศเลวร้ายในฤดูหนาว
** (แม่น้ำโคโลราโด มีความยาวประมาณ 2,330 กิโลเมตร)
Most Beautiful Places in the World #31 – ‘เกรตแบร์ริเออร์รีฟ’ (The Great Barrier Reef, Australia)
หนึ่งในของขวัญจากธรรมชาติที่น่าทึ่งที่สุดของออสเตรเลีย เป็นสถานที่ที่มีความหลากหลายและความงามบนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ประกอบด้วยแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทอดยาวจากปลายแหลมยอร์กทางตอนเหนือของควีนส์แลนด์ไปจนถึงทางตอนใต้บันดาเบิร์ก
เกรตแบร์ริเออร์รีฟเป็นหนึ่งในระบบนิเวศทางธรรมชาติที่สมบูรณ์และซับซ้อนที่สุดในโลก มีปลามากกว่า 1,500 ชนิด ปะการังประมาณ 400 ชนิด หอย 4,000 ชนิด และนก 240 ชนิดรวมทั้ง ฟองน้ำ ดอกไม้ทะเล หนอนทะเล และสายพันธุ์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น พะยูน หรือ “วัวทะเล” และเต่าสีเขียวขนาดใหญ่ซึ่งกำลังเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ ‘ไม่มีทรัพย์สินมรดกโลกอื่นใดที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเช่นนี้’ ในฐานะที่เป็นระบบนิเวศแนวปะการังที่กว้างขวางที่สุดในโลก เกรตแบร์ริเออร์รีฟพื้นที่ที่โดดเด่นและมีความสำคัญระดับโลก ที่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 1981 ครอบคลุมพื้นที่ 348,000 ตารางกิโลเมตร
ภายในเกรตแบร์ริเออร์รีฟมีแนวปะการังที่มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันประมาณ 2,500 แห่ง และเกาะต่างๆกว่า 900 เกาะตั้งแต่อ่าวเล็กๆ และอ่าวที่มีพืชพันธุ์ขนาดใหญ่ไปจนถึงเกาะในทวีปขนาดใหญ่ที่สูงกว่า 1,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภูมิประเทศและท้องทะเลเหล่านี้รวมกันเป็นทัศนียภาพทางทะเลที่งดงามที่สุดในโลก
ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกธรรมชาติ มีขนาดใหญ่กว่ากำแพงเมืองจีน และเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกที่มองเห็นได้จากอวกาศ
Most Beautiful Places in the World #32 – ‘หมู่เกาะแฟโร’ (Faroe Islands)
กลุ่มเกาะภูเขาไฟ 18 เกาะที่ปกครองตนเอง ซ่อนตัวอยู่ระหว่างไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดดเด่นด้วยภูมิทัศน์ที่ไม่ธรรมดาของหน้าผาที่สูงชัน ภูเขาสูง และแนวฟยอร์ดแคบๆ ตามแนวชายฝั่ง
ภาษาแฟโรมาจากภาษานอร์สเก่าซึ่งพูดโดยชาวนอร์เซเมนที่ตั้งรกรากบนเกาะเมื่อ 1200 ปีก่อน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 หมู่เกาะแฟโรเป็นที่อาศัยของพระชาวไอริช ชาวไวกิ้ง และฝูงแกะมากมาย ปัจจุบันมีประชากร 49,000 คน หมู่เกาะแฟโรเป็นประเทศที่ปกครองตนเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก โดยมีรัฐสภา ธงชาติ ภาษาเป็นของตนเอง และอุตสาหกรรมประมงที่เฟื่องฟู
หลายศตวรรษของการเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่กันส่งผลให้มีการอนุรักษ์ประเพณีโบราณที่หล่อหลอมชีวิตในหมู่เกาะแฟโรมาจนถึงทุกวันนี้ การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมดั้งเดิมและสมัยใหม่เป็นลักษณะเฉพาะของสังคมชาวแฟโรซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกที่แข็งแกร่งของชุมชนท้องถิ่น
‘Saksun’ เป็นหมู่บ้านชนบทเล็กๆ เป็นจุดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งบนเกาะ Streymoy ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด ถนนคดเคี้ยวนำขึ้นไปบนภูเขาทางตอนเหนือและขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงที่สุด Slættaratindur (882 เมตร) บนเกาะเอสทูรอย (Esturoy Island) ไม่ไกลจากที่นี่จะเห็นกองหินสองก้อนที่เรียกว่า ‘Risin og Kellingin’ หมายถึง ยักษ์และแม่มด คือกองหินริมทะเล ที่เกิดจากการกัดเซาะของคลื่นและลม อันเป็นที่มาของกับตำนานโบราณของชาวเกาะแฟโร
ตำนานนี้กล่าวถึงยักษ์และแม่มดจากไอซ์แลนด์หลงใหลในความงามของหมู่เกาะนี้และต้องการที่จะพาชาวแฟโรไปที่บ้านของพวกเขา พวกเขาพยายามดึงเกาะภูเขา Eiðiskollur ให้แยกออกโดยไม่ได้สังเกตเห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังขึ้นจากขอบฟ้า เมื่อแสงแดดสัมผัสร่างพวกยักษ์จึงทำให้พวกมันกลายเป็นหินในทันที
หมู่บ้านชาวประมงที่มีหลังคาหญ้าตามแนวชายฝั่งที่เต็มไปด้วยหิน และนกพัฟฟินหลายพันตัวทำรังบนหน้าผาสูง น้ำตกมูลาฟอสเซอร์ (Mulafossur Waterfall) ที่คล้ายดั่งออกมาจากนวนิยายแฟนตาซีที่สายน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาหินของเกาะเวการ์ (Vágar) ลงสู่มหาสมุทรเบื้องล่างโดยมีเนินเขาสีเขียวของหมู่บ้าน Gásadalur เป็นฉากหลังอาจเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของหมู่เกาะแห่งนี้
Most Beautiful Places in the World #33 – ‘เกาะกรีนแลนด์’ (Greenland)
กรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก เกาะนอกทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ที่มีอะไรมากกว่าธารน้ำแข็ง แม้ว่าธารน้ำแข็งจะงดงามมากก็ตาม ลองนึกถึงฟยอร์ดที่สวยงาม หมู่บ้านที่มีสีสัน ทุ่งเลี้ยงแกะ พระอาทิตย์เที่ยงคืนที่น่าหลงใหล และแสงออโรร่าที่น่ามหัศจรรย์คล้ายเต้นระบำอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนในฤดูหนาว
เกาะกรีนแลนด์อาจจะเรียกได้ว่าเป็นถิ่นทุรกันดารที่ยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายของโลก ดินแดนน้ำแข็งและหิมะอันห่างไกล ด้วยภูมิประเทศที่ไม่เหมือนใครและการผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์ไวกิ้งและวัฒนธรรมร่วมสมัยของชาว ‘อินูอิต’ หรือ ‘เอสกิโม’
แม้จะมีขนาดใหญ่มาก แต่กรีนแลนด์มีประชากรประมาณ 57,000 คนเท่านั้น คนท้องถิ่นในส่วนนี้ของโลกเป็นมิตรกับทุกคน และเกือบ 25% ของชาวกรีนแลนด์อาศัยอยู่ใน Nuuk เมืองหลวงของกรีนแลนด์
สิ่งดึงดูดใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของกรีนแลนด์คือธารน้ำแข็งซึ่งเป็นดั่งแม่น้ำน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ไหลลงสู่ทะเล 80% ของเกาะถูกปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็งหนาตลอดทั้งปี ซึ่งแผ่กระจายไปกว่า 1.7 ล้านตารางกิโลเมตร (เกือบ 700,000 ตารางไมล์) ธารน้ำแข็ง Sermeq Kujalleq อาจเป็นที่รู้จักมากที่สุดของกรีนแลนด์และเป็นธารน้ำแข็งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดในโลก ในขณะเดียวกัน Russell Glacier ใกล้ Kangerlussuaq ก็คุ้มค่ากับการเยี่ยมชม
กรีนแลนด์มีฤดูกาลท่องเที่ยว 3 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิในกรีนแลนด์มีบริการเลื่อนสุนัขจำนวนมาก
ในเดือนมีนาคมและเมษายน เมืองหลวงของ Nuuk จะเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลหิมะ นอกจากนี้การแข่งขัน Arctic Circle Race ซึ่งเป็นการแข่งขันสกีข้ามประเทศที่ยากที่สุดในโลกจะจัดขึ้นที่ซิซิมิวท์ (Sisimiut) ในฤดูใบไม้ผลิ
ฤดูร้อนของเกาะกรีนแลนด์ (พฤษภาคม – กันยายน) มีการล่องเรือชมฟยอร์ด ล่องไปชมยังธารน้ำแข็งกลางทะเล
ฤดูหนาวในกรีนแลนด์เหมาะสำหรับนักผจญภัยที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติของอาร์กติกอย่างแท้จริง ให้มาที่กรีนแลนด์ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ เพลิดเพลินกับการนั่งเลื่อนสุนัขฮัสกี้ และยังสามารถขับสโนว์โมบิลในช่วงค่ำคืนที่มืดมิดพร้อมกับแสงเหนือ (Aurora Borealis) อันงดงาม
Most Beautiful Places in the World #34 – ‘เกาะสกาย’ (Isle of Skye, Scotland)
เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะหมู่เกาะอินเนอร์ เฮบริดีส (Inner Hebrides) นอกชายฝั่งตะวันตกของสกอตแลนด์ มีความยาว 50 ไมล์ และมีเมืองหลวงคือ ‘พอร์ทรี’ (Portree)
ตอนกลางทางใต้ของเกาะสกายเป็นที่ตั้งของเทือกเขา Cuillins ถือเป็นเทือกเขาที่น่าทึ่งที่สุดในสหราชอาณาจักร ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อกว่า 60 ล้านปีก่อน บริเวณสันเขาหลักเป็นที่รู้จักกันในชื่อ สันเขา ‘Black Cuillin’ ที่ยอดหินขรุขระนี้มีความยาว 12 กม. ซึ่งมี Munros* ไม่น้อยกว่าสิบเอ็ดแห่ง และสันเขา Red Cuillin ทางตะวันออกของ Glen Sligachan
* (Munros เป็นภูเขาที่พบได้ทั่วสกอตแลนด์ สูงกว่า 3,000 ฟุต ทั่วทั้งสกอตแลนด์มี Munros ทั้งหมด 282 แห่ง)
ภูเขาหินฝั่ง Black Cuillin นั้นส่วนใหญ่ประกอบด้วยหินแกบโบร (Gabbro) ประเภทหินอัคนีที่มีลักษณะเป็นหินสีเขียวเข้มถึงดำ โดยมียอดเขาแหลมจำนวนมาก ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ Sgurr Alasdair ประมาณ 3,255 ฟุต ในขณะที่เนินฝั่ง Red Cuillin ที่โค้งมนกว่านั้นเป็นหินแกรนิตซึ่งมีสีซีดกว่าหินแกบโบร จุดสูงสุดของเนินเขาสีแดงคือ ยอดเขา Glamaig ประมาณ 2,543 ฟุต
ที่เชิงเขา Black Cuillins ใกล้กับหุบเขา Glenbrittle คือ Fairy Pools เป็นแอ่งน้ำสีฟ้าใสบนแม่น้ำ Brittle แอ่งหินที่สวยงามของน้ำพุใสที่ไหลมาจากน้ำตกจากเทือกเขา Cuillin
บริเวณเหนือสุดทางทิศตะวันตกของเกาะสกาย เป็นที่ตั้งของปราสาทดันวีแกน (Dunvegan Castle) สร้างขึ้นในปี 1266 เป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดที่มีผู้อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องในสกอตแลนด์และเป็นฐานที่มั่นของ Chiefs of MacLeod มาเกือบ 800 ปี
‘Old Man of Storr’ เป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะสกาย สูงหง่านสูงถึง 164 ฟุต หน้าผายอดแหลมนี้ยื่นออกมาจาก Trotternish Ridge ทางเหนือของเมืองพอร์ทรี
ด้วยความสวยงามของภูมิทัศน์ของภูเขา ทุ่งหญ้าเขียวขจี ทะเลสาบที่ส่องแสงระยิบระยับ และหน้าผาที่สูงตระหง่านริมทะเล เกาะสกายจึงถูกใช้เป็นฉากในภาพยนต์ดังๆ หลายเรื่อง เช่น The BFG, Macbeth, Stardust, Snow White and the Huntsman, Prometheus, 47 Ronin, King Arthur: Legend of the Sword และ Transformers: The Last Knight
Most Beautiful Places in the World #35 – ‘ทะเลสาบไบคาล’ (Lake Baikal)
เป็นทะเลสาบที่เก่าแก่และลึกที่สุดในโลก คือ ‘ทะเลศักดิ์สิทธิ์’ ของรัสเซีย และเป็นเส้นชีวิตของชาวไซบีเรียตอนใต้มานานหลายพันปีเนื่องจากมีน้ำบริสุทธิ์และสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์
ทะเลสาบโบราณขนาดมหึมาใหญ่กว่า Great Lakes ทั้งหมดของอเมริกาเหนือรวมกัน มีแหล่งน้ำจืดประมาณ 23% ของโลก ทะเลสาบไบคาลซึ่งตั้งไม่ไกลจากชายแดนมองโกเลียถูกล้อมรอบด้วยภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำในป่าไบคาลเป็นพื้นที่อันยิ่งใหญ่และน่าทึ่งของความงามตามธรรมชาติ ยังเป็นเป็นที่อยู่ของพืชและสัตว์มากกว่า 2,000 ชนิด ซึ่ง 2 ใน 3 ของชนิดนี้ไม่สามารถพบได้จากที่อื่นใน โลกรวมถึงปลาไบคาลโอมุล (Baikal Omul) และปลาน้ำมันไบคาล (Baikal Oilfish) รวมทั้ง ‘แมวน้ำไบคาล’ แมวน้ำน้ำจืดที่รู้จักกันในท้องถิ่นว่า ‘เนอร์ปา’ หนึ่งในสัตว์น้ำจืดชนิดเดียวของโลก
ทะเลสาบไบคาล มีชื่อเล่นว่า ‘ไข่มุกแห่งไซบีเรีย’ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของไซบีเรียตะวันออกภายในสาธารณรัฐบูเรียตียา (Buryatia) และ อีร์คุตสค์ (Irkutsk Oblast) ของรัสเซีย เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอยู่ในโลก อายุ 20 ล้าน – 25 ล้านปี รวมถึงแหล่งน้ำในทวีปที่ลึกที่สุดโดยมีความลึกสูงสุด 1,620 เมตร มีพื้นที่ประมาณ 31,500 ตารางกิโลเมตร ความยาว 636 กิโลเมตร และความกว้างเฉลี่ย 48 กิโลเมตร
แม้จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1996 แต่ทะเลสาบไบคาลยังคงถูกคุกคามจากมลพิษทางอุตสาหกรรม การขาดแคลนทางการเกษตร และปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมถึงกิจกรรมการทำเหมือง และการสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในบริเวณใกล้เคียง
สิ่งที่ทำให้ทะเลสาบน้ำแข็งแห่งนี้พิเศษเป็นพิเศษก็คือน้ำที่ใสมากทำให้น้ำแข็งมีสีเทอร์ควอยซ์สวยงาม และก๊าซมีเทนที่ลอยขึ้นมาจากพื้นทะเลสาบทำให้เกิดรูปแบบวงกลมที่ไม่เหมือนใครในน้ำแข็ง บางครั้งก็ดันเศษน้ำแข็งของในมุมที่แปลก ช่างภาพแห่กันไปที่ทะเลสาบเพื่อถ่ายภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจเหล่านี้
Most Beautiful Places in the World #36 – ‘ลากูน่า โคโลราด้า’ (Laguna Colorada Bolivia)
เป็นทะเลสาบน้ำเค็มทางตะวันตกเฉียงใต้ของ เทือกเขาอัลติพลาโน (Altiplano) ของโบลิเวียใกล้กับชายแดนชิลี
‘เทือกเขาอัลติพลาโน’ มีทะเลสาบขนาดใหญ่หลายแห่งที่ขึ้นชื่อเรื่องสีสันสดใสเนื่องจากแร่ธาตุในน้ำ เช่น ลากูน่าเวิร์ด เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีน้ำทะเลสีเขียวมรกตที่โดดเด่น แต่ลากูน่าโคโลราดาเป็นทะเลสาบสีแดงขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวในเขตนี้
ลากูน่า โคโลราด้า หรือ ‘ทะเลสาบสีแดง’ เป็นทะเลสาบน้ำเค็มตื้นที่ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 14,000 ฟุต ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 6,000 เฮกตาร์ ตั้งอยู่ใกล้กับ ‘ซาลาร์ เด อูยูนี’ (Uyuni Salt Flat) เป็นที่ราบเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยมีพื้นที่กว่า 10,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งที่สุดของโบลิเวีย
ทะเลสาบน้ำเค็มในเงามืดของเทือกเขาแอนดีสแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องน้ำทะเลสีแดงเลือดซึ่งเป็นผลมาจากสาหร่ายที่เจริญเติบโตได้ในความร้อนสูง และแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ในน้ำ ช่างภาพจากทั่วโลกต่างหลงใหลในสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจโดยทะเลสาบสีแดงเข้มลึกตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับท้องฟ้าสีฟ้าใส และหิมะสีขาวบนภูเขาที่อยู่ห่างไกล
ฝูงนกฟลามิงโกถูกดึงมาที่ทะเลสาบแห่งนี้เนื่องจากมีแพลงก์ตอนมากมาย มีการพบนกฟลามิงโกสามในหกชนิดของโลกได้ที่นี่ Chilean Flamingo, Andean flamingo และ James’s flamingo โดยเฉพาะนกเจมส์ฟลามิงโกที่พบได้เฉพาะในที่ราบสูงแอนเดียนที่คิดว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 จนกระทั่งมีการค้นพบประชากรของนกเจมส์ฟลามิงโกจำนวนเล็กน้อยที่ ลากูน่า โคโลราด้า ในปี 1956
สีสันของลากูน่า โคโลราด้า โดดเด่นทันทีที่ได้เห็น แต่งแต้มด้วยสาหร่ายสีแดงและจุลินทรีย์อื่นๆ ทำให้น้ำมีสีแดงอมส้มเข้ม ทะเลสาบเกลือถูกแต่งแต้มด้วยแอ่งน้ำสีขาวขนาดใหญ่ที่เกิดจากการสะสมของบอแรกซ์จำนวนมากบนพื้นผิวของทะเลสาบโดยตัดกันอย่างสมบูรณ์แบบ ลากูน่าโคโลราดาเป็นส่วนหนึ่งของเขตอนุรักษ์แห่งชาติ Eduardo Avaroa Andean Fauna และในปี 1990 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “พื้นที่ชุ่มน้ำแรมซาร์ที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ”
Most Beautiful Places in the World #37 – คัปปาโดเกีย, ตุรกี (Cappadocia, Turkey)
ปล่องหิน หรือ ปล่องไฟนางฟ้า เมืองใต้ดินและซากปรักหักพังอันยิ่งใหญ่ของอารยธรรมโบราณ เป็นสถานที่ตั้งของอารยธรรมที่แตกต่างกันมาหลายพันปี
การปะทุของภูเขาไฟโบราณ ลาวาที่พ่นออกมาจากภูเขาไฟระเบิดที่เกิดขึ้นจากภูเขา Erciyes ภูเขา Hasan และ Mount Gulludag ได้ก่อตัวขึ้นเป็นที่ราบสูงมีลักษณะเป็นรูปโต๊ะขนาดใหญ่ (Table Plateaus) ได้กลายเป็นหินทูฟา (Tufa) ที่ทับถมกันเป็นเวลานาน ต่อมาได้ถูกการกัดเซาะจากแม่น้ำแดง (Kizilirmak) และลมฝนเป็นเวลาหลายล้านปี เกิดเป็นปล่องหินซึ่งทอดยาวไปถึงท้องฟ้าได้ไกลถึง 130 ฟุต และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติมาจนถึงปัจจุบัน
ชาวฮิตไทต์ (Hatties) เป็นคนกลุ่มแรกของคัปปาโดเกียในช่วง 2,500-2000 ปีก่อนคริสตศักรา ในไม่ช้าชาวอัสซีเรียก็ได้ตั้งอาณานิคมการค้าในภูมิภาคนี้ เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหม จนถึงการล่มสลายของชาวฮิตไทต์ในศตวรรษที่ 12 ก่อนคริสต์ศักราช
ต่อมาถูกครอบครอโดยชาวเปอร์เซียในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช หรือในช่วงเวลาการปกครองของอเล็กซานเดอร์มหาราชใน 332 ปีก่อนคริสต์ศักราช และเมื่อกษัตริย์แห่งคัปปาโดเกียองค์สุดท้ายสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 17 ภูมิภาคนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน
ในศตวรรษที่ 4-7 คัปปาโดเกียยังกลายเป็นที่หลบภัยของคริสเตียนยุคแรกจำนวนมากที่หนีการกดขี่ข่มเหงจากโรม และได้ค้นพบเมืองที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินเหล่านี้ อีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 11 และ 12 การโจมตีของชาวอาหรับได้เข้าครอบครองภูมิภาคนี้ และจากนั้นก็คือพวกเซลจุ๊ก สันติภาพมีความโดดเด่นในช่วงจักรวรรดิออตโตมัน หลังจากสนธิสัญญาโลซานชาวคริสต์ได้อพยพและออกจากคัปปาโดเกียระหว่างปี 1924-1926
คัปปาโดเกียมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในโลกและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ เป็นภูมิภาคที่สวยงามในภาคกลางของตุรกีที่มีชื่อเสียงในเรื่องของทิวทัศน์คล้ายดั่งเทพนิยาย การก่อตัวของหินภูเขาไฟที่น่าทึ่ง และแน่นอนว่าบอลลูนหลายร้อยลูกที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นทุกเช้า
เนื่องจากความหลากหลายทางธรรมชาติและวัฒนธรรมคัปปาโดเกียจึงอยู่ในรายชื่อมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโกตั้งแต่ปีค.ศ.1985
Most Beautiful Places in the World #38 – ทะเลสาบเทคาโป (Lake Tekapo, New Zealand)
ทะเลสาบธารน้ำแข็งขนาดใหญ่กลางเกาะใต้ ล้อมรอบด้วยเทือกเขาที่สูงตระหง่าน ครอบคลุมพื้นที่ 83 ตารางกิโลเมตรและมีความสูง 710 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นทะเลสาบที่สูงที่สุดในลุ่มน้ำแมคเคนซี ‘Mackenzie Basin’ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในนิวซีแลนด์ ที่ตั้งอยู่ในเขตแม็คเคนซี่และไวอากิ
ทะเลสาบเทคาโปยังเป็นทะเลสาบใหญ่ที่สุดในบรรดาทะเลสาบ 3 แห่งในพื้นที่ลุ่มน้ำแมคเคนซี (Lake Ohau และ Lake Pukaki) อยู่ไม่ไกลภูเขา Mt.Cook ที่เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของนิวซีแลนด์ คำว่า ‘Tekapo’ เป็นภาษาเมารี หมายถึง “สถานที่นอนหลับยามค่ำคืน” ซึ่งมาจากคำว่า “taka” หรือ “teka” (ปูรองนอน) และ “po” (กลางคืน)
เทือกเขาตอนใต้ถูกปกคลุมอย่างถาวรด้วยน้ำแข็งที่ไหลลงมาจากภูเขาละลายแล้วตามลงไปในทะเลสาบผ่านแม่น้ำก็อดลีย์สู่ทะเลสาบเทคาโปมีสีที่มีสีฟ้าคราม หุบเขาทั้งหมดที่ทะเลสาบตั้งอยู่ในตอนนี้เคยถูกปกคลุมไปด้วยธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ทอดยาวจากยอดเขาไปจนสุดปลายทะเลสาบ
สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ของทะเลสาบเป็นผลมาจากธารน้ำแข็งโดยรอบ มีอนุภาคของหินที่ละเอียดมากซึ่งไหลมาจากธารน้ำแข็ง เรียกว่า “แป้งธารน้ำแข็ง” จะแขวนลอยอยู่ในน้ำและทำให้เกิดสีฟ้าคราม ตัดกับฉากหลังของยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและทุ่งดอกลูปินที่บานสะพรั่งบนชายฝั่งทะเลสาบเทคาโป
‘โบสถ์คนเลี้ยงแกะ’ (Church of the Good Shepherd) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณของท้องถิ่น เป็นโบสถ์แห่งเดียวในทะเลสาบเทคาโป หนึ่งในอาคารเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงและได้รับการถ่ายภาพมากที่สุดในนิวซีแลนด์ซึ่งสร้างขึ้นบนชายฝั่งทะเลสาบมีทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสาบและภูเขาโดยรอบ โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1935 สำหรับครอบครัวผู้บุกเบิกในเขตแม็คเคนซี่ ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้ยังใช้คงเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาในวันสำคัญๆ ใกล้ๆ กันเป็นที่ตั้ง “อนุสาวรีย์สุนัขเลี้ยงแกะ” ที่สร้างไว้เพื่อระลึกถึงสุนัขคอลลี่ที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านในการต้อนแกะ
เมืองทะเลสาบเทคาโป (ซึ่งมักเรียกกันสั้นๆ ว่าเทคาโป) ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของทะเลสาบที่มีชื่อเดียวกัน ส่วนใหญ่ประกอบด้วยบ้านพักตากอากาศ แต่ก็ยังมีขนาดใหญ่พอที่จะมีร้านค้ามากมาย รวมถึงร้านขายของที่ระลึก ปั๊มน้ำมัน เบเกอรี่ และซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก ถนนสายหลักของเมืองอยู่บนทางหลวงหมายเลข 8 ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมระหว่างควีนส์ทาวน์และไครสต์เชิร์ช
Most Beautiful Places in the World #39 – ยอดเขาคิลิมันจาโร (Mount Kilimanjaro, Tanzania)
ยอดเขาที่สูงที่สุดในแอฟริกา ภูเขาอิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก – นี่ยอดเขาคิลิมันจาโร – สัญลักษณ์ที่สูงตระหง่านของความยิ่งใหญ่ ความสง่างาม และอำนาจ
ภูเขาไฟแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหนือที่ราบโดยรอบโดยมียอดเขาที่เต็มไปด้วยหิมะปรากฏเหนือทุ่งหญ้าสะวันนา ภูเขาล้อมรอบด้วยป่าภูเขา ครอบคลุมพื้นที่ 652 ตารางไมล์ (1,688 ตารางกิโลเมตร) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแทนซาเนียใกล้กับพรมแดนประเทศเคนยา จากความสูง 5,895 เมตร หรือ 19,340 ฟุตของยอดเขาคิลิมันจาโร จะนำเราไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์แห่งน้ำแข็งและหิมะในฤดูหนาว และความงดงามของหลังคาทวีป ในภาษาสวาฮิลี Kilima แปลว่า “ภูเขา” และคำว่า KiChagga Njaro แปลว่า “ความขาว” ยอดเขาคิลิมันจาโรจึงหมายถึง ‘ภูเขาที่มีสีขาว’ อันน่าจะมาจากยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี
คิลิมันจามียอดภูเขาไฟหลักสามยอดคือได้แก่ คิโบ, มาเวนซี, และชิรา (Kibo, Mawenzi, Shira) โดยคิโบ คือยอดภูเขาไฟที่สูงที่สุดในทั้งสาม ในขณะที่มาเวนซี และชิราดับไปแล้ว ส่วน ‘คิโบ’ คือปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดมีความกว้างมากกว่า 15 ไมล์ ยังอาจปะทุขึ้นอีกครั้ง นักวิทยาศาสตร์คาดว่าการปะทุครั้งสุดท้ายคือ 360,000 ปีที่แล้ว
จุดที่สูงที่สุดบนขอบปล่องภูเขาไฟคิโบ เรียกว่า ‘Uhuru’ ซึ่งเป็นคำภาษาสวาฮิลี แปลว่า “อิสรภาพ” ได้รับการตั้งชื่อในปี 1961 เมื่อ Tanganyika ได้รับเอกราช (ต่อมาแทนกันยิกาได้เข้าร่วมกับหมู่เกาะแซนซิบาร์เพื่อก่อตั้งแทนซาเนีย) ภูเขาแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์เตือนว่าหิมะอาจจะหายไปภายใน 20 ปีข้างหน้าหรือมากกว่านั้น
ในปี 1973 ยอดเขาแห่งนี้ได้ถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติคิลิมันจาโรเพื่อปกป้องสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งรวมถึงป่าภูเขาที่ล้อมรอบภูเขาคิลิมันจาโร ภูเขาคิลิมันจาโรเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของแอฟริกา มีสัตว์หลากหลายชนิดอาศัยอยู่ในบริเวณรอบๆ ภูเขา ทั้งช้าง เสือดาว ม้าลาย ยีราฟ และควายป่า รวมทั้ง ‘ลิงสีน้ำเงิน’
อุทยานแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในปี 1987
Most Beautiful Places in the World #40 – ชายฝั่ง ‘นาปาลี’ (Na Pali Coast, Hawaii)
ประติมากรรมที่งดงามของธรรมชาติซึ่งสร้างขึ้นจากการชนกันทางธรณีวิทยาของแผ่นเปลือกโลก ทำให้เกิดการปะทุของภูเขาไฟขนาดใหญ่ คลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าสู่ชายฝั่งปีแล้วปีเล่าทำให้เกิดถ้ำทะเลกว้างขึ้น ในขณะเดียวกันการกัดเซาะผ่านลมและน้ำเป็นเวลาหลายล้านปี
กระบวนการทางธรรมชาตินี้ได้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างภูมิทัศน์ที่น่าทึ่ง แนวชายฝั่งระยะทางชายฝั่งที่ทอดยาวถึง 17 ไมล์ไปตามชายฝั่งทางเหนือของ ‘เกาะคาไว’ (Kauai) ซึ่งเป็นเกาะที่เก่าแก่ที่สุดของหมู่เกาะฮาวาย หน้าผาสีมรกตที่สูงถึง 4,000 ฟุต หรือ 1,200 เมตร เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกที่มีสันเขาแหลม เผยให้เห็นชายหาดและน้ำตกที่สวยงามซึ่งตกลงสู่พื้นหุบเขาอันเขียวชอุ่ม ภูมิประเทศที่ขรุขระปรากฏขึ้นมากเช่นเดียวกับเมื่อหลายศตวรรษก่อน
คำว่า “Na Pali” หมายถึง “หน้าผา” ชาวฮาวายโบราณเคยอาศัยอยู่ในหุบเขาหลายแห่งในพื้นที่ที่ได้รับการยกย่องนี้ ชุมชนของพวกเขาเติบโตขึ้น พวกเขาทำไร่ หาปลาและแลกเปลี่ยนกันเพื่อความอยู่รอด หุบเขาคาลาเลา (Kalalau Valley) หล่อเลี้ยงชุมชนชายฝั่งนาบาลีที่ใหญ่ที่สุด และยังคงดึงดูดผู้คนให้มาพบกับความงดงามราวกับมหาวิหารอันบิ่งใหญ่นี้