One world

วันจันทร์-ศุกร์ 09.00-18.00 น.
วันเสาร์ 09.00-13.00 น.

GRAND GERMANY 11 DAY 1-18 THE COMPASS BY ONE WORLD TOUR

January 19, 2021 | by One world

Grand Germany 11 วัน #1 ?? อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักเดินทางผู้ต้องการสัมผัสธรรมชาติและอยากย้อนเวลาหาอดีตอันน่าพิศวง เรื่องราวต่างๆ ราวกับเทพนิยายโบราณของปราสาทยุคกลางที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เมืองน้อยใหญ่ที่มีความสวยงามคลาสิคอีกมากมายหลายเมืองที่ก่อให้เกิดตำนานอันน่าค้นหามาตั้งแต่ยุคโรมันจนถึงสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง และด้วยมีขนาดพื้นที่ถึง 357,021 ตารางกิโลเมตร และภูมิประเทศที่มีความแตกต่างกันที่บางส่วนของทิศเหนือติดกับทะเลบอลติกและทะเลเหนือ จนเกิดเมืองท่าสำคัญอย่าง ฮัมบูร์ก เบรเมน และ รอสต๊อก และทิศใต้ยังติดกับเทือกเขาแอลป์ในแคว้นบาวาเรีย อันเป็นจุดกำเนิดเส้นทางที่สุดแสนโรแมนติกและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเขต ‘ป่าดำ’ ที่น่าไปเยือนสักครั้งหนึ่ง ตลอดจนหมู่บ้านโบราณตั้งแต่ยุคโรมัน จนถึงยุคกลางที่ไดรับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกหลายแห่ง มีสายน้ำโมเซล และแม่น้ำไรน์ไหลคดเคี้ยวผ่านตอนกลางของประเทศทอดตัวผ่านไร่องุ่น หมู่บ้าน และปราสาทโบราณ ทำให้เยอรมนีเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางมากมายจากทั่วทุกมุมโลกที่ต้องการมาสัมผัสกับความสวยงามที่น่าหลงใหลเหล่านี้ อย่าลืมติดตามเรื่องราวของเส้นทางสายแกรนด์เยอรมนีในตอนต่อๆ ไปด้วยนะครับ

Grand Germany 11 วัน #2 ?? หลังจากที่มาถึงสนามบินแฟรงค์เฟิร์ตแล้ว จุดหมายแรกของเราคือเมือง ‘วือซ์บวร์ก’ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของของแฟรงก์เฟิร์ตเพียง 110 กิโลเมตรเท่านั้น วือซ์บวร์กตั้งอยู่ตอนเหนือของแคว้นบาวาเรีย เป็นอีกเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘เมืองสไตล์บารอกที่สวยที่สุดในเยอรมนี’ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางผลิตไวน์ขาวที่มีชื่อเสียงในเขตฟรังโกเนียอีกด้วย วือซ์บวร์กได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่แคว้นบาวาเรีย หรือจุดเริ่มต้นของ ‘เส้นทางสายโรแมนติก Romantic Road’ ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกนั่นเอง หากเราลองหลับตาและสมมุติว่าเราย้อนเวลากลับไปยืนอยู่บนทางสายนี้เมื่อพันกว่าปีที่แล้ว เราคงจะได้เห็นขบวนของกองทัพโรมันอันเกรียงไกรเดินทัพผ่านเส้นทางประวัติศาสตร์เส้นนี้ ตลอดระยะทาง 350 กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้นที่เมืองวือซ์บวร์กมุ่งหน้าลงไปทางใต้ ผ่านหมู่บ้านหรือชุมชนโบราณถึง 30 แห่ง จนไปสิ้นสุดเส้นทางสายโรแมนติกนี้ที่เมือง ‘ฟุสเซ่น’ ผ่านหมู่บ้านที่แทรกตัวอยู่ตามเนินเขา ชุนชนที่สร้างบ้านเรือนอยู่ริมลำธารสายน้อย ป้อมปราการ กำแพงเมืองโบราณ และปราสาทที่สวยงามอลังการที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมผาสูงจะค่อยๆ ปรากฎให้เราได้เห็นในการเดินทางในวันต่อๆ ไปอย่างแน่นอน โอกาสหน้าเราจะมาเดินเล่นชมเมืองวือซ์บวร์กก่อนที่จะตามรอยเส้นทางสายโรแมนติกนี้กันต่อครับ

Grand Germany 11 วัน #3 ?? ️ เราเริ่มต้นเที่ยวเมืองวือซ์บวร์กโดยเดินข้ามสะพานหิน ‘อัลเทอไมน์บรึค ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1473 เพื่อทดแทนสะพานโรมันเดิมที่ถูกทำลายไปเมื่อปี 1133 สะพานแห่งนี้มีไว้สำหรับป้องกันเมืองจากศัตรูที่มาทางเรือ ต่อมาก็มีการนำรูปปั้นนักบุญ 12 องค์มาประดับอยู่สองฝั่งสะพาน เช่น นักบุญจอห์น เนโปมุก หรือรูปปั้นนักบุญชาวไอริชทั้ง 3 คือ กิลเลียน,โคโลเนท และโททนัน ที่นำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแผ่ยังเขตฟรังโกเนียเมื่อปี 680 และยังนำรูปปั้นของ ‘จักรพรรดิ ชาร์เลอมาญ’ จักรพรรดิองค์แรกในนาม “จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์” ถือเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปในสมัยกลางมาประดับบนสะพานแห่งนี้ด้วย จากบนสะพานเมื่อมองออกไปด้านข้างจะเห็นไร่องุ่นเรียงรายตลอดสองฝั่งแม่น้ำไมน์ และหากมองกลับไปยังเนินเขาด้านหลังเราจะเห็น ‘ป้อมมาเรียนแบร์ก’ ที่สร้างโดยชนเผ่าเซลติกเมื่อประมาณ 650 ปีก่อนคริสตกาล ปราการโบราณนี้ผ่านกาลเวลามาจนถึงศตวรรษที่ 13-18 ก็ใช้เป็นที่ประทับและเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของเจ้าบิชอปแห่งวือซ์บวร์กอีกหลายพระองค์ เมื่อเดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งเราก็จะเห็นตัวเมืองเก่าที่สวยงามรอเราไปเยือนอยู่เบื้องหน้าที่เมื่อปี 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดของอังกฤษได้ทำให้เมืองที่สวยงามแห่งนี้กลายเป็นซากอิฐและกองหินที่ไร้ค่าในเวลาเพียงไม่กี่นาที !!!

Grand Germany 11 วัน #4 ??  ผลจากการทิ้งระเบิดในครั้งนั้นทำให้บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ กลายเป็นซากปรักหักพัง ชาวเมืองเสียชีวิตหลายพันคน ภายหลังจากสงครามสงบได้มีการบูรณะซ่อมแซมฟื้นฟูเมืองขึ้นมาใหม่แต่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วนจนเมืองวือซ์บวร์กกลับมาสวยงามมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เช่น ศาลาว่าการเมืองที่สร้างในสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์มีหอนาฬิกาในแบบโรมาเนสก์สูงถึง 55 เมตร, ‘โบสถ์มาเรียนคาเปล’ โบสถ์สไตล์โกธิกที่ตัวอาคารโดดเด่นด้วยการทาสีขาวตัดกับสีแดง ถัดมาคือ ‘Falkenhaus’ อาคาร 3 ชั้นสีเหลืองอ่อนที่จั่วด้านหน้าสร้างในแบบบารอก บนมุขด้านหน้าประดับด้วยปูนปั้นแบบรอกโคโค และ ‘โบสถ์นอยมึนส์เตอร์’ ที่สร้างในแบบโรมาเนสก์ ไบเซนไทน์ และบาโรก สิ่งที่เราจะพลาดไม่ได้เลยคือการเข้าไปชม ‘พระราชวังวือซ์บวร์ก’ พระราชวังสไตล์บารอกที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1982 ภายในพระราชวังตกแต่งด้วยศิลปะแบบบาโรก รอกโคโค และนีโอคลาสิคอันหรูหราอลังการ ภาพเขียนเพดานแบบเฟรสโก ฝีมือของ ‘โจวันนี บัตติสตา ตีเอโปโล’ จิตรกรยุคบาโรกในศตวรรษที่ 18 จากเมืองเวนิช หลังจากที่เราอิ่มเอมกับการชมความงดงามของพระราชวังแห่งนี้แล้ว เราต้องเดินทางไปยังเมือง’โรเธนเบิร์ก’กันต่อครับ แค่ 60 กิโลเมตรเอง #Covid19จบเราไปเที่ยวกัน

Grand Germany 11 วัน #5 ??  เรามาถึงเมือง “โรเธนเบิร์ก” ก็ช่วงบ่ายแก่ๆ แล้ว เมื่อเดินผ่านกำแพงเมืองโบราณเข้าไปด้านในความรู้สึกเหมือนกับว่าเรานั้นได้ตกเข้าไปอยู่ในหนังสือนิทานของพี่น้องตระกูลกริมม์เลยที่เดียว ป้อมปราการที่เชื่อมต่อกับกำแพงเมืองทั้งสี่ด้านยังคงสภาพเดิมเหมือนเมื่อพันกว่าปีก่อน บ้านเรือนในแบบ Half-timbered house เรียงรายอยู่สองข้างทางเดินที่ปูด้วยก้อนหินสีเทา ไม่แปลกใจเลยที่โรเธนเบิร์กยังคงสภาพของเมืองยุคกลางดีที่สุดของอีกแห่งหนึ่งของเยอรมัน เราเดินลอดใต้ “หอคอยขาว” Weisserturm หอคอยเก่าที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ผ่าน “โบสถ์เซนต์จาคอบ” ที่เก็บตลับคริสตัลที่บรรจุหยดโลหิตพระเยซูไว้บนไม้กางเขนหนือแท่นบูชา เข้าสู่ “ประตูปราสาท” ที่มีหน้ากากเล็กๆ ติดอยู่เหนือประตู ชาวเมืองเชื่อว่าหน้ากากนี้จะป้องกันความชั่วร้ายเข้ามาสู่เมืองได้ จากบริเวณนี้เราจะเห็นเมืองโรเธนเบิร์กที่ตั้งอยู่บนหุบเขาโดยมีแม่น้ำเทาเบอร์ไหลคดเคี้ยวอยู่เบื้องล่างอย่างชัดเจน เมื่อเราเดินกลับเข้าสู่บริเวณจตุรัสกลางเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารศาลาว่าการเมืองที่สร้างเป็นแบบเรเนสซองส์และแบบบาโรกที่สวยงามโดยมีบ่อน้ำพุเซนต์จอร์จบ่อน้ำที่ใหญ่ที่สุดของเมืองตั้งอยู่ด้านข้างแล้วก็ขอแวะพักเหนื่อยที่ร้านเบเกอร์รี่ลองชิมขนม “สเนโบลัล” หรือ “ลูกบอลหิมะ” กันสักหน่อย มีให้เลือกหลายแบบ อร่อยดีครับ…คืนนี้เราพักกันในเมืองโรเธนเบิร์กกัน 1 คืน ขอบอกเลยครับว่าบรรยากาศเมืองยามค่ำคืนสวยและคลาสสิกมาก แต่อย่านอนดึกนะครับเพราะพรุ่งนี้เราจะต้องไปเที่ยวกันต่อที่เมือง “อูล์ม” #Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน

Grand Germany 11 วัน #6 ?? เช้าวันนี้เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ก็เดินทางถึงเมือง “อูล์ม” เมืองเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำดานูบ ในแคว้น บาเดน-เวืร์ทเทมแบร์ก ตัวเมืองสร้างขึ้นในปี 850 เมืองนี้ยังเป็นบ้านเกิดของ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวและนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้เมืองอูล์มยังเป็นที่ตั้งของวิหารที่สูงสุดในโลกอย่างวิหารอูล์ม มึนสเตอร์ “Ulm Münster” ด้วยความสูงถึง 161.53 เมตร โดยใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 513 ปี (1377-1890) ก่อนจากเมืองอูล์มเราไม่ลืมที่จะไปเก็บภาพของอาคารศาลาว่าการเมืองที่สร้างในสถาปัยกรรมแบบเรอเนสซองส์ซึ่งอยู่ใกล้กับวิหารแค่นิดเดียว จากเมืองอูล์มเราเดินทางลงไปทางใต้สู่เมืองชวานเกา เมืองโบราณที่ตั้งอยู่เชิงเขาและล้อมรอบด้วยทะลสาบ ในอดีตกองทัพโรมันได้สร้างถนนสาย “เคลาเดีย ออกุสต้า” ตัดผ่านเมืองชวานเกาไปจนถึงเอาส์บูร์ก ที่นี่ได้กลายจึงเป็นจุดพักของกองทัพโรมันที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งบนถนนสายนี้ หลังจากกองทัพโรมันถอนตัวออกไป พื้นที่นี้ได้ถูกครอบครองและเปลี่ยนมือในช่วงหลายศตวรรษ ปราสาทเก่าแก่ถูกทิ้งเป็นซากปรักหักพังจนถึงสมัยของพระเจ้าแม็กซิมิเลียนที่ 2 ได้สร้างปราสาท “โฮเอนชวานเกา” ขึ้นใหม่ในต้นศตวรรษที่ 19 และพระเจ้าลุกวิคที่ 2 ซึ่งเป็นพระโอรสของพระองค์ได้เริ่มก่อสร้าง “ปราสาทนอยชไวน์สไตน์” อันงดงามในปลายศตวรรษที่ 19 …บ่ายๆ เราจะขึ้นไปชมปราสาทกันครับ…#Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน

Grand Germany 11 วัน #7 ?? หลังจากเราจัดการกับเจ้า “ขาหมูเยอรมัน” สไตล์บาบาเรียนชิ้นใหญ่และอร่อยมากเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องย้อนเวลากลับเข้าไปสู่ในยุคของอัศวินโบราณกันแล้ว “ปราสาทนอยชวานสไตน์” ที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกหลังนี้ตั้งอยู่บนผาหินขนาดใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ที่เมืองชวานเกาซึ่งแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงามรอบด้าน กษัตริย์ลุกวิคที่ 2 ทรงเริ่มสร้างปราสาทแห่งนี้ในปี 1869 ในแบบสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ยุคฟื้นฟูซึ่งได้รับความนิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ภายในนั้นตกแต่งอย่างหรูหรา ด้วยศิลปะแบบโกธิก โรมาเนสก์ และไบเซนไทน์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากบทประพันธ์เรื่อง Swan Knight Lohengrin ของ ริชาร์ด วากเนอร์ แต่น่าเสียดายที่ปราสาทแห่งนี้ยังสร้างไม่เสร็จเพราะพระองค์สวรรคตไปเสียก่อนในปี 1886 ทรงประทับอยู่ในปราสาทที่เป็นความใฝ่ฝันของพระองค์แค่เพียง 172 วันเท่านั้น …เมื่อเราได้ชื่นชมความสวยงามอลังการของปราสาทแห่งนี้แล้ว เราเดินเท้าลัดเลาะแนวปราสาทผ่านป่าสนสู่จุดชมวิวซึ่งจะเห็นปราสาทสีเหลืองตั้งอยู่ด้านล่างนั่นคือ “ปราสาทโฮเอนชวานเกา” ที่พระเจ้าแม๊กซิมิเลียนที่ 2 แห่งบาวาเรียได้ทรงสร้างปราสาทสไตล์โกธิกหลังนี้จากซากปรักหักพังของป้อมปราการโบราณในศตวรรษที่ 12 โดยได้แรงบันดาลใจมาจากปราสาทในยุคกลางเพื่อเป็นที่ประทับในระหว่างการล่าสัตว์ในช่วงฤดูร้อน …คืนนี้เราพักกันที่เมืองการ์มิซพาเท่น เคียร์เค่น เมืองเล็กๆ ที่อยู่ติดกับเทือกแอลป์ พรุ่งนี้เราจะขึ้นไปเที่ยวบนยอดเขาซุกสปิตเซ่กันครับ #Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน

Grand Germany 11 วัน #8 ?? วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวเมืองเก่ามาชมธรรมชาติกันบ้าง จุดหมายของเราคือยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมัน ‘ซุกสปิทเซ่’ (Zugspitze) ที่มีความสูงถึง 2,962 เมตร เรานั่งรถไฟสายภูเขา ‘Cogwheel train’ จากเมืองการ์มิซ-พาเท่น เคียร์เค่น ขึ้นสู่ด้านบนกันครับ ตลอดเวลา 45 นาทีของการเดินทาง ขบวนรถไฟจะนำเราไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านและป่าสนที่เรียงรายสองข้างทางโดยมีทะเลสาบไอบ์ (Eibsee) ทะเลสาบสีเขียวมรกตตัดกับท้องฟ้าสีครามที่ซ่อนตัวอยู่ในวงล้อมของเทือกเขาแอลป์อย่างน่าอัศจรรย์ รถไฟวิ่งมาถึงสถานี Zugspitzplatt ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของยอดเขาซุกสปิทเซ่ เราเดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศที่สวยงามก่อนที่จะนั่งกระเช้า Gletscherbahn ต่ออีกครู่เดียวก็จุดหมายของเราแล้ว‘ยอดเขาซุกสปิทเซ่’ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเวทเตอร์สไตน์ในแนวเทือกเขาแอลป์ ที่มีกลาเซียร์หรือธารน้ำแข็งถึง 3 แห่งแทรกตัวอยู่ในแนวเขา วิวบนนี้สวยงามมาก วิวแบบพานอรามาทำให้เรามองเห็นภูมิประเทศของออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และเยอรมันแห่งนี้  บนนี้ยังเคยเป็นที่ตั้งจุดตรวจชายแดนที่สูงที่สุดแต่เนื่องจากเยอรมันและออสเตรียเข้ามาอยู่ในกลุ่มสหภาพยุโรปแล้วจุดตรวจนี้จึงยกเลิกไปในที่สุด สัมผัสกับความหนาวเย็นและความงามกันอย่างเต็มที่แล้ว…เราต้องเดินทางลงจากยอดเขาเพื่อเดินทางกันต่อ คืนนี้เราจะไปพักกันที่เมืองนูแรมเบิร์กกันครับ #Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน 

Grand Germany 11 วัน #9 ?? เราใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงจากการ์มิชสู่เมือง ‘นูแรมเบิร์ก’ ที่ตั้งอยู่ตอนเหนือของแคว้นบาวาเรีย เมืองเก่าอายุพันกว่าปีที่รุ่งเรืองที่สุดเมืองหนึ่งในยุคโรมันเมืองนี้ถูก ‘ฮิตเลอร์’ ใช้เป็นศูนย์กลางการบริหารและศูนย์ประชุมหลักของพรรคนาซีหลายครั้งและยังตั้งเป็นหน่วยระดมพลของทหารนับแสนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีจนเกิดความเสียหายอย่างหนัก อย่างไรก็ตามเมืองที่มีความสวยงามคลาสสิคเมืองนี้ก็ได้รับการบูรณะฟื้นฟูมาอย่างดีสมกับฉายาว่า ‘เมืองในเทพนิยาย’ เราเดินเข้าสู่เขตเมืองเก่าไปบนถนนที่ปูด้วยก้อนหินสไตล์เมืองในยุคกลางที่อยู่ภายในแนวกำแพงโบราณล้อมรอบด้วยป้อมปราการในศตวรรษที่ 13 เข้าสู่โบสถ์เซนต์ลอเรนซ์ที่มีหอคอยคู่แบบโกธิค จัดได้ว่าเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเมือง มี ‘น้ำพุแห่งคุณธรรม’ ตั้งอยู่ทางด้านข้างของโบสถ์ เมื่อเราเดินข้ามสะพานหินที่ทอดข้ามแม่น้ำเพกนิทซ์ที่ไหลผ่านกลางเมือง ก็จะเข้าสู่จตุรัสหลักของเมือง ‘Haupmarkt’ อันเป็นที่ตั้งของโบสถ์เฟราเอินเคียร์เคอ โบสถ์สไตล์โกธิคเช่นเดียวกับ ‘น้ำพุเชินเนอร์บรุนเนน’ ที่สูงถึง 19 เมตรที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และถัดไปอีกไม่ไกลบนเนินเขาด้านเหนือของเมืองเก่าคือที่ตั้งของปราสาทไกเซอร์บูร์ก ที่เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิหลายพระองค์…#Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน 

Grand Germany 11 วัน #10 ?? หากให้เลือกเมืองที่ชอบที่สุดในเยอรมัน คงจะเลือกยากมาก แต่เราก็จะไม่ลังเลเลยที่จะยกให้ ‘เดรสเดน’ คือหนึ่งในเมืองที่อยากมาเยือนมากที่สุดในเยอรมัน เมืองเก่าแก่อายุ 800 กว่าปีเมืองนี้สร้างขึ้นมาในศตวรรษที่ 11 (ค.ศ.1206) ก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัยถึง 32 ปี เดรสเดนในวันนี้ไม่ได้ต่างจากในอดีต ถึงแม้บางช่วงประวัติศาสตร์ของเมืองจะประสบกับภัยจากสงคราม น่าแปลกที่เมืองสวยงามแห่งนี้ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญทางยุทธศาสตร์เลยแต่กลับโดนทิ้งระเบิดจากเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อ 75 ปีที่ผ่านมา ปฎิบัติการ ‘Operation Thunderclap’ ทำให้เดรสเดนมีสภาพแทบจะเป็นเมืองร้าง โบสถ์ วิหาร พระราชวัง สถาปัตยกรรมเก่าแก่รวมถึงบ้านเรือนก็ถูกทำลายเกือบหมดสิ้น หลังสงครามสงบเมืองได้รับการบูรณะฟื้นฟูจนสมบูรณ์อีกครั้ง ทำให้เดรสเดนในวันนี้คือ ‘หนึ่งในเมืองสไตล์บาร็อคที่สวยงามที่สุดในยุโรป’ ฉายา “ฟลอเรนซ์แห่งเยอรมนี” คงไม่ได้มาด้วยความบังเอิญ …เราจะมาร่วมกันย้อนอดีตอันรุ่งเรืองของเมืองเดรสเดนกันครับ…#Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน 

Grand Germany 11 วัน #11 ?? วันนี้เราเริ่มเดินชมเมืองเดรสเดนจากบริเวณที่เรียกว่า ‘จัตุรัสโรงละคร’ (Theater Platz) บริเวณโดยรอบจัตุรัสยังเป็นที่ตั้งของโรงละคร ‘เซมเพอร์โอเปร่า’ Semper Opera ที่สร้างขึ้นในสไตล์เรอเนสซองส์ ผสมบารอก และมีเสาแบบโครินเธียนซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมของกรีกประดับอยู่ด้านหน้าอาคาร ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘โรงละครที่สวยที่สุดในยุโรป’ มีรูปปั้นสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ของกษัตริย์โยฮันน์แห่งแซกโซนีทรงม้าตั้งอยู่กลางจตุรัส ด้านตรงข้ามกับโรงละครคือ ‘วิหารหลวงของราชสำนัก’ หรือ’โบสถ์โฮฟ’ โบสถ์คาทอลิกในสไตล์บารอกที่มีรูปปั้นของนักบุญและอัศวินผู้ปกป้องศาสนาตั้งไว้รายรอบอาคาร ใกล้กันนั้นคือ ‘ปราสาทเดรสเดน’ หรือ’พระราชวังหลวง’ ศูนย์กลางแห่งอำนาจของกษัตริย์แห่งแซกโซนีหลายพระองค์ ที่สร้างในสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนสซองส์ จากจตุรัสโรงละครเราเดินขึ้นสู่ระเบียงทางเดินของ ‘พระราชวังซวิงเงอร์’ Zwinger Palace ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบบารอกที่โอบล้อมสวนและน้ำพุอยู่ด้านล่าง อาคารศาลาที่มีรูปปั้นเทพเจ้ากรีกอยู่ด้านบน โดดเด่นด้วยซุ้มประตูมงกุฏสีทอง และรูปปั้นประดับประดาอยู่ทั่วพระราชวัง สมกับเป็นพระราชวังแบบบารอกที่งดงามที่สุดในประเทศเยอรมัน#Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน

Grand Germany 11 วัน #12 ?? เราเดินออกจากพระราชวังสวิงเงอร์ผ่านเข้าสู่ป้อมประตูเมืองเก่า ‘Georgentor’ ซึ่งเป็นอาคารเรอเนสซองส์แห่งแรกของเมืองเพื่อเข้าไปชม ‘Stallhof’ สนามแข่งขันขี่ม้าของอัศวินในยุคกลางที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 สมัยของเจ้าชายอิเลคเตอร์ “คริสเตียนที่ 1” แห่งแซกโซนี หากเวลานี้เราย้อนกลับไปในอดีตได้คงเห็นภาพของชาวเมืองที่ส่งเสียงเชียร์อัศวินในชุดเกราะสองคนที่กำลังขี่ม้าแข่งกันเพื่อมาแทงเจาะห่วงทองเหลืองที่แขวนไว้ที่เสาเหล็กทั้ง 2 ต้นตรงกลางสนามแห่งนี้…ผนังกำแพงด้านนอกของโรงม้าคือ “The Fürstenzug” เป็นกำแพงที่มีภาพจิตกรรมบนกระเบื้องเคลือบที่ยาวที่สุดในโลก ด้วยความยาวถึง 101 เมตร ภาพที่เราเห็นบนกำแพงคือขบวนเสด็จของผู้ครองแคว้นแซกโซนีและขุนนางผู้สืบเชื้อสายของตระกูล จนถึงพระเจ้าเฟรเดอริค ออกุสตุสที่ 3 กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งแซกโซนี…เดินผ่านกำแพงเข้าไปที่จตุรัส “Neumarkt” จะเห็นโบสถ์เฟราเอนเคียเค่อ “Frauenkirche” โบสถ์โปแตสแตนท์ในสถาปัตยกรรมแบบบารอก ที่มีความโดดเด่นด้วยโดมที่สูงถึง 96 เมตร โบสถ์แห่งนี้เคยถูกทำลายจนเหลือแต่ซากปรักหักพังจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลยในปี 1945 และตรงกลางจตุรัสมีรูปปั้นของ มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้ซึ่งหาญกล้าท้าทายอำนาจของพระสันตะปาปาเลโอที่ 10 แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกจนเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงคราม 30 ปี” ในเวลาต่อมา #Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน 

Grand Germany 11 วัน #13 ?? จากจตุรัส “Neumarkt” เราเดินผ่านโบสถ์เฟราเอนเคียเค่อ ขึ้นบันไดสู่ Brühl’s Terrace ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ระเบียงแห่งยุโรป” ระเบียงทางเดินที่ทอดยาวเหนือชายฝั่งของแม่น้ำเอลเบ กลุ่มอาคารแบบเรอเนสซองส์และนีโอบารอกที่ตั้งอยู่ข้างแนวระเบียงคือ ‘สถาบันศิลปะ’ ด้านบนคือโดมแก้วที่มี “ฟามา” เทพีแห่งชื่อเสียงและข่าวลือของโรมันสีทองอร่ามประดับอยู่บนยอดโดม เชิงบันไดทางลงจากระเบียงมีปฎิมากรรม Four Seasons ซึ่งเป็นผลงานของ “โยฮันเนส ชิลลิ่ง” ปฎิมากรชาวเยอรมันซึ่งเป็นผลผลิตจากสถาบันศิลปะของเมืองเดรสเดนที่สร้างผลงานทั้งหมด 265 ชิ้น ซึ่งชิ้นที่สำคัญนั้นก็ตั้งอยู่ในเมืองเดรสนี่เอง รูปของโยฮันเนส ชิลลิ่ง ยังไปปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรมกระเบื้องเคลือบบนกำแพง “The Fürstenzug” ที่เราได้ไปชมมาก่อนหน้านี้…จากความรุ่งเรืองในอดีตในยุคของ พระเจ้าออกุสตุสที่ 2 แห่งโปแลนด์ที่ต่อมากลายเป็น กษัตริย์เฟรดเดอริก ออกุสตุสที่ 1 แห่งแซกโซนี ผ่านความตกตกต่ำในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันเดรสเดนกลับมาทวงคืนความรุ่งโรจน์ในอดีตจนทำให้เมืองหลวงของแคว้นแซกโซนีแห่งนี้เป็นเสมือน “อัญมณีอันมีค่าของเยอรมัน”#Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน 

Grand Germany 11 วัน #14 ?? เหนือเมืองเดรสเดนขึ้นไป 198 กิโลเมตรคือ “กรุงเบอร์ลิน” เมืองหลวงของเยอรมมี …ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 16-19 (1618-1648) สงครามสามสิบปีได้ก่อให้เกิดความเสียหายไว้มากที่สุดสงครามหนึ่งของประวัติศาสตร์ยุโรป สงครามส่วนใหญ่สู้รบกันบนดินแดนของเยอรมัน และเบอร์ลินเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับความเสียหายอย่างมาก จนมาถึงศตวรรษที่ 20 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (1937-1945) เมื่อสิ้นสุดสงคราม เยอรมันนีถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน เยอรมันตะวันออกภายใต้อำนาจของโซเวียต และเยอรมันตะวันตกภายใต้อำนาจของ อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส กรุงเบอร์ลินนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ของเยอรมันตะวันออก แต่ด้วยแนวคิดในการปกครองที่ต่างกัน ทำให้เบอร์ลินที่อยู่ในตะวันออกอยู่แล้วยังถูกแบ่งเป็นเบอร์ลินตะวันออกกับเบอร์ลินตะวันตกซ้ำอีก โดยแนวกำแพงเบอร์ลินที่ยาวถึง 155 กิโลเมตร แบ่งแยกคนเยอรมันซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นคนชาติเดียวกันออกเป็น 2 โลก เมื่อกำแพงถูกทำลาย กลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ทยอยล่มสลายไปทีละประเทศรวมถึงสหภาพโซเวียต เยอรมนีตะวันออกและตะวันตกกลับมารวมกันอีกครั้งกลายมาเป็น “สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี” …เบอร์ลินวันนี้ต่างจากวันวาน ความเจริญกลับเข้ามาอีกครั้ง ไม่มีสงคราม ไม่มีการแบ่งแยก และไม่มีกำแพงขวางกั้นชาวเมืองอีกต่อไป #Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน

Grand Germany 11 วัน #15 ?? สถานที่แรกของกรุงเบอร์ลินที่เราจะไปเยือนกันคือ ประตูบรันเดนบวร์กซุ้มประตูขนาดใหญ่แบบนีโอคลาสสิกจากหินทรายที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 ในสมัยพระเจ้าเฟรเดอริค วิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งปรัสเซีย โดยจำลองแบบมาจากอะโครโพลิสในกรุงเอเธนส์ มีปฏิมากรรมเทพีแห่งชัยบนรถม้าศึกประดับบนยอดประตู จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศสเคยนำปฏิมากรรมชิ้นนี้กลับไปที่กรุงปารีสเพื่อฉลองชัยชนะเหนือปรัสเซียเมื่อปี 1806 ใกล้ๆ กับประตูบรันเดนบวร์ก คืออาคารรัฐสภาสไตล์นีโอเรเนสซองมีโดมแก้วอยู่ด้านบนถูกสร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ที่ใช้เป็นรัฐสภาของเยอรมันตั้งแต่ปี 1999 จากอาคารรัฐสภาเรานั่งรถผ่าน “เสาแห่งชัยชนะ” อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการฉลองในชัยชนะของปรัสเซียที่มีเหนือสงครามกับเดนมาร์ก ออสเตรีย และฝรั่งเศสในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เข้าสู่ “พระราชวังชาร์ล็อทเทินบวร์ก” พระราชวังสไตล์บารอกและรอกโคโคที่งดงามและใหญ่โตที่สุดในกรุงเบอร์ลิน สถานที่ต่อมาคือ “มหาวิหารเบอร์ลิน” วิหารโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของเมือง สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมระหว่างบาร็อคเเละเรอเนสซองส์ที่มียอดโดมสีฟ้า 3 โดมอยู่ด้านบน ตัววิหารตั้งอยู่โดดเด่นบนเกาะพิพิธภัณฑ์ จากนั้นร่วมกันระลึกถึงการสิ้นสุดสงครามเย็น และการพังทลายของกำแพงเบอร์ลินกันที่ East side Gallery ซึ่งแนวกำแพงเบอร์ลินที่ยังหลงเหลืออยู่ได้กลายสภาพเป็นงานศิลปะไปแล้ว และจากจุดนี้เราสามารถเห็นสะพาน Oberbaumbrücke ที่สร้างขึ้นในสไตล์กอธิคทอดตัวข้ามแม่น้ำชเปร และอีกจุดหนึ่งที่พลาดไม่ได้คือ “จุดตรวจพรมแดนประวัติศาสตร์” Checkpoint Charlie ของเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตกบริเวณที่เกิดเหตุการณ์การเผชิญหน้ากันของทหารอเมริกากับทหารโซเวียตในปี ค.ศ.1961#Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน 

Grand Germany 11 วัน #16 ?? เมือง ‘โคโลญ’ เมืองใหญ่ที่สุดที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ สร้างเมื่อปี 51 ในสมัยจักรพรรดิ์เคลาดิอุสแห่งอาณาจักรโรมัน โคโลญก็ไม่ต่างจากเมืองอื่นๆในเยอรมันที่โดนผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆได้รับความเสียหายทั้งเมือง มีเพียง ’มหาวิหารโคโลญ’ ที่ยังตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางกองซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน วิหารคาธอลิกแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างถึง 632 ปี (1248-1880) ในแบบสถาปัตยกรรมกอธิค และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1996 อีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวเยอรมันคือการล่องเรือชมบรรยากาศของแม่น้ำไรน์…เราเริ่มล่องเรือจากเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ ‘เซนต์กอร์’ สู่เมือง ‘บ๊อบพาร์ด’ ผ่านหมู่บ้าน และไร่องุ่นที่เรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่ง ต้นแม่น้ำสายนี้มาจากไหลมาจากเทือกเขาแอลป์ผ่านหลายประเทศในยุโรป ช่วงที่ไหลผ่านเข้ามาในประเทศเยอรมันถือว่าเป็นช่วงที่มีความยาวมากที่สุด แม่น้ำไรน์ได้รับการยกย่องเป็นแม่น้ำที มีความสําคัญในยุโรมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมันในเรื่องของการขนส่งสินค้า และยังเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการทำสงครามซึ่งเราจะเห็นได้จากการที่มีป้อมปราการและปราสาทโบราณตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำไรน์ให้เราได้เห็นตลอดในระหว่างล่องเรือ#Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน 

Grand Germany 11 วัน #17 ?? ‘แม่น้ำโมเซล’ จากต้นกำเนินบนภูเขาในแคว้นอัลซาสของประเทศฝรั่งเศสไหลเข้าสู่เยอรมันผ่านเมืองเทรียร์สายน้ำที่คดเคี้ยวไหลตามหุบเขาผ่านเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยไร่องุ่น ป้อมปราการและปราสาทโบราณตั้งอยู่บนเขาเหนือหมู่บ้านเล็กๆ ที่ผลิตไวน์คุณภาพดีและไหลลงสู่แม่น้ำไรน์ที่เมืองโคเบนซ์…จุดที่สวยที่สุดของแม่น้ำสายนี้อยู่ระหว่างเมืองคอคเค่ม ‘Cochem’ กับเมืองเบิร์นคาสเทล-คูส์ ‘Bernkastel-Kues’…คอคเค่มเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในเยอรมัน อาคารบ้านเรือนที่ได้รับการอนุรักษ์มาอย่างดี ศาลากลางเมืองแบบบาโรกสมัยศตวรรษที่ 18 มีป้อมปราสาทโบราณ ‘Reichsburg Cochem หรือ Imperial Castle ตั้งอย่างสง่างามบนเนินเขาเหนือหลังนี้คือปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในลุ่มแม่น้ำโมเซล …เมืองเบิร์นคาสเทล-คูส์ เราเดินผ่านประตูป้อมปราการสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเมืองซึ่งสร้างขึ้นในปี 1300 เข้าสู่จัตุรัสกลางเมืองที่เต็มไปด้วยบ้านหน้าจั่วบ้านไม้ครึ่งหลังย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 17 ศาลาว่าการเมืองเก่าสไตล์เรเนซองส์ตอนปลายที่มีหลังคาโค้งแบบบาโรกที่ประณีตงดงาม ให้ความรู้สึกที่เหมือนการย้อนเวลากลับไปเมืองเก่าอีกครั้ง#Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน

Grand Germany 11 วัน #18 ?? วันนี้ขอปิดท้ายการเที่ยว ‘แกรนด์เยอรมัน’ ที่เมือง ‘แฟรงค์เฟิร์ต’ เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไมน์ในแคว้นเฮ็สเซินทางตอนกลางของประเทศเยอรมนี ที่มีความเจริญและเป็นศูนย์กลางทางการเงินของประเทศ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์และธนาคารกลางของยุโรป และยังมีสนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอีกด้วย บริเวณที่เราจะไปเยือนกันคือ ‘จตุรัสโรเมอร์’ จตุรัสกลางเมืองเก่าที่มีความงามของสถาปัตยกรรมยุคศตวรรษที่ 15 ที่ได้รับบูรณะฟื้นฟูหลังจากการถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกลับมาสวยงามดังเดิม จตุรัสรายรอบไปด้วยอาคารเก่าแก่หลายหลัง โบสถ์นิโคไลเคียร์เค่อ ซึ่งเป็นโบสถ์โกธิกยุคแรกที่สร้างในศตวรรษที่ 11 หรือ บ้านปูนกึ่งไม้ half-timbered houses ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของจตุรัสนี้ไปแล้ว น้ำพุแห่งความยุติธรรมที่สร้างในปี 1543 ตั้งอยู่กลางจตุรัสหันหน้าไปทางศาลาว่าการเมืองเก่าสไตล์โกธิก ด้านหลังจตุรัสโดดเด่นด้วยหอคอยสูง 95 เมตรคือส่วนหนึ่งของ ‘ไกเซอร์โดม’ โบสถ์สไตล์โกธิกที่เคยจัดพิธีสวมมงกุฏสถาปณาจักรพรรดิเยอรมันหลายพระองค์ ทางใต้ของจตุรัสจะมีสะพานเหล็ก Eiserner Steg ทอดยาวข้ามแม่น้ำไมน์ ซึ่งถือว่าเป็นจุดชมวิวบรรยากาศของเมืองได้ดีอีกจุดหนึ่งเลยที่เดียว เราเดินกลับมาทางด้านเหนือของจตุรัสผ่าน ‘โบสถ์พอลเคียร์เค่อ’ ที่เคยใช้เป็นที่จัดประชุมรัฐสถาแห่งชาติเยอรมันเป็นครั้งแรกในปี 1848 แล้วเดินข้ามมาอีกฝั่งจะเข้าสู่ถนน Zeil ถนนสายช้อปปิ้งของเมืองที่เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์เนมมากมาย…แน่นอนครับ นี่คือเป้าหมายสุดท้ายของเราก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านกัน…ขอให้สนุกกับการช้อปปิ้งนะครับ

ท่านสามารถดูโปรแกรมทัวร์และรายละเอียดของโปรแกรมนี้ได้ผ่านลิงค์นี้

>>

บทความท่องเที่ยวนี้เป็นบทความให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ จัดทำโดย บริษัทวันเวิลด์ทัวร์แอนด์ทราเวลจำกัด อนุญาตให้ใช้เพื่อ การให้ความรู้ การอ้างอิงนำเสนองานทางการวิจัย การศึกษา ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ในเชิงธุรกิจ หรือ แสวงหากำไร โดยมิได้รับอนุญาต

อ้างอิง วันเวิลด์ทัวร์แอนด์ทราเวลจำกัด. (2564). แกรนด์เยอรมัน 11 วัน. สืบค้นจากอินเตอร์เน็ตเมื่อวันที่ …….. จากเว็บไซต์ www.oneworldtour.co.th